Bitkub สตาร์ตอัพสายฟินเทค เป็นแพลตฟอร์มเทรดเงินคริปโต ที่มีความฝันเป็นยูนิคอร์นของประเทศไทย ผ่านการเข้าร่วมโครงการ ดีแทค แอคเซอเลอเรท ในรอบ Global Expansion Track และเป็นสตาร์ตอัพที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 525 ล้านบาท ในรอบ Seed Round ปัจจุบัน Bitkub มีทุนจดทะเบียนบริษัท 80 ล้านบาท
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO, Bitkub Capital Group Holdings กล่าวว่า วงการบิตคอยน์ (Bitcoin) เติบโตขึ้นทุกปี ในปี 2018 ราคาพุ่งขึ้นไปถึงคอยน์ละ 2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะตกมาเหลือแค่ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ และดีดตัวกลับขึ้นไปที่ 1 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ
ถึงแม้ว่าราคาบิตคอยน์จะผันผวน แต่ยอดการเปิดบัญชีและยอดเทรดต่อวันกลับเติบโตขึ้นทุกปี ส่งผลให้ Bitkub มีอัตราการเติบโตถึง 1,000% ต่อเดือน ทั้งเรื่องการเทรด การโอนเงิน การฝากถอน และมีผู้ใช้ถึง 2 แสนบัญชี
Bitkub มีส่วนแบ่งตลาดลงทุนคอยน์ในประเทศไทยอยู่ที่ 90% ลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่อายุเฉลี่ยต่ำกว่า 30 ปี มียอดซื้อขายประมาณ 250 ล้านบาท/วัน ทั้ง 30 สกุลคอยน์ มีเงินเข้าออกจากการซื้อขายระหว่างธนาคารกับบิตคอยน์ 4,000 ล้านบาท/เดือน เป็นยอดเงินโอนเข้า 1,500 ล้านบาท โอนออก 2,500 ล้านบาท
“ตลาดของประเทศไทยโตเท่ากับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ แต่ยังตามหลังเวียดนามอยู่ ที่น่าแปลกใจคือเวียดนามเป็นท็อปคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) ของโลก”
Bitkub พยายามสร้างตัวเอง เป็นธนาคารหรือตลาดหลักทรัพย์ 2.0 ที่ธนาคารหรือตลาดหลักทรัพย์สามารถใช้ฟังก์ชันเดียวกันได้ อนาคตคนจะใช้ธนาคารหรือแอปพลิเคชันโอนเงินข้ามประเทศโดยที่ไม่ได้รู้ว่าเป็นการโอนผ่านบิตคอยน์ เหมือนกับที่เราใช้สไกป์ (Skype) โดยที่ไม่รู้ว่าระบบหลังบ้านมันคืออะไร แต่สามารถสื่อสารกับคนได้
ระบบของ Bitkub สามารถโอนเงินไปอังกฤษภายในแค่ 30 วินาที หรือเงินจากสหรัฐมาเมืองไทย 1 นาที โดยมีค่าธรรมเนียมแค่ 0.5% ขณะที่การโอนเงินข้ามประเทศในปัจจุบันที่เป็นแบบโครงสร้างเก่า มีค่าธรรมเนียมเฉลี่ยที่ 7% ของมูลค่าในการโอน ซึ่งในอนาคตการโอนเงินข้ามประเทศอาจจะไม่มีค่าใช้จ่าย
ธนาคารและตลาดหลักทรัพย์ 2.0
Bitkub เป็นเหมือนชั้นบนสุด (Layer on Top) ของธนาคาร ให้คนเข้าถึงสะดวกมากขึ้น โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ธนาคารลงทุนไว้ให้เป็นประโยชน์ สามารถโอนเงินผ่าน Bitkub ได้ภายใน 1 วินาที จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ จ่ายเงินเดือน
เปลี่ยนระบบให้ร้านค้าต่างๆ รับบิตคอยน์โดยที่ไม่รู้ว่าเขารับเป็นช่องทางการชำระเงิน (Payment Gateway) ที่จะจ่ายค่าอะไรก็ได้
วางแผนออกเดบิตการ์ด (Debit Card) หรือปล่อยกู้ได้ในอนาคต โดยใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่คนซื้อขายกันทุกวันวิเคราะห์การปล่อยกู้
Bitkub ยังเข้ามาแก้ไขข้อเสียหลายอย่างของตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นระบบผูกขาด ไม่มีนวัตกรรม ระบบ T+2 (รอเงิน 2 วันทำการ) ใช้กันมานานโดยไม่มีการพัฒนา ขณะที่ Bitkub เป็น T+1 วินาที (ทำการใน 1 วินาที) และสามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมง ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์มีเวลาเปิด-ปิด
นอกจากนี้ ยังเข้ามาแก้ปัญหาหุ้นบางตัวที่มีราคาแพงจนนักลงทุนซื้อไม่ไหว ในขณะที่บิตคอยน์จะซื้อกี่บาทก็ได้
สามารถนำทรัพย์สินอื่นเข้ามาขายได้ ซึ่งแตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์ทั่วไป เช่น นำคอนโดราคา 5 ล้านบาท เข้ามาแบ่งขาย คนที่มีเงินแค่ 5 แสนบาท สามารถเป็นเจ้าของ 10% และได้ส่วนแบ่งของค่าเช่า 10% ทำให้คนที่มีพื้นที่เล็กๆ หรือใหญ่ สามารถนำมาแบ่งให้เป็นเจ้าของร่วมกันได้
ตลาดหลักทรัพย์ในอนาคตจะซื้อได้ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ รับทรัพย์สินได้ทุกรูปแบบ แม้กระทั่งชื่อเสียงของคนดัง ลิขสิทธิ์เพลง เอกสิทธิ์การจัดคอนเสิร์ตที่เคยมีคนเดียวเป็นเจ้าของได้
“Bitkub มีใบอนุญาต Digital Assets Exchanges ที่ออกและควบคุมโดย ก.ล.ต. 100% กฎหมายใหม่กำลังจะออกมารองรับการ Tokenize คอนโด ที่ดิน ให้รับเงินปันผลได้ ซึ่งกฎหมายน่าจะออกภายในปีนี้”
นอกจากนี้ ยังมีใบอนุญาตควรให้คำแนะนำการลงทุน หรือใบอนุญาตรับลงทุนแทน สำหรับคนที่ไม่มีความรู้เลย ไม่มีเวลา เหมือนกับก๊อบปี้วงการตลาดหลักทรัพย์ แต่เป็นรูปแบบ 2.0 ทั้งหมด

วิวัฒนาการการเงินกำลังเปลี่ยน ต่างชาติทุ่มศึกษาคริปโตเคอเรนซี
จิรายุส กล่าวต่อว่า บิตคอยน์คล้ายกับทอง เพราะมีจำนวนจำกัด ราคาขึ้นลง มีการเก็งกำไร แต่เมื่อมีคนเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น ความผันผวนในตลาดจะน้อยลง และความมั่นคงจะมากในอนาคตจนสามารถใช้แทนเงินได้
ในประเทศที่สกุลเงินโดนคว่ำบาตรและไม่มีค่าอย่างเวเนซุเอลาหรืออาร์เจนตินา ที่มีปัญหาเงินเฟ้อแบบสุดๆ เป็นล้านเปอร์เซ็นต์ ยกตัวอย่างคือมีเงิน 1 ล้าน แต่ซื้อขนมปังได้แค่ก้อนเดียว คนกลุ่มนี้จะเปลี่ยนทรัพย์สินเป็นบิตคอยน์ทั้งหมดเพื่อปกป้องมูลค่าและโอนทรัพย์สินออกนอกประเทศผ่านบิตคอยน์ เพราะเงินในประเทศตัวเองไม่มีความมั่นคง
แบงก์ชาติในหลายประเทศกำลังจะออกสกุลเงินดิจิทัล (Digital Currency) ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีทีมใหม่ที่ชื่อว่า Digital Currency Team และเพิ่งออก “อินทนนท์คอยน์” สำหรับโอนเงินจากไทยไปฮ่องกงในรูปแบบ B2B เป็นเฟสที่ 3
ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ จับมือธนาคารกลางของยุโรปหลายประเทศ เตรียมทำคริปโตเคอเรนซีของตัวเอง ส่วน IMF (International Monetary Fund) ได้ออกมาบอกว่าถ้าแบงก์ชาติไหนไม่ศึกษาคริปโตเคอเรนซีถือว่าสายเกินไปแล้ว
ด้านธนาคารกลางของจีนเตรียมออกดิจิทัลหยวน เพื่อแข่งกับ Libra ของสหรัฐ และเพื่อประหยัดต้นทุนการผลิตเหรียญและธนบัตร
“ถ้าจีนเปิดตัวสำเร็จและสามารถใช้ผ่าน WeChat หรือ Alipay โดยมีเงินหยวนสนับสนุน จะทำให้หยวนเป็นเงินที่ถูกยอมรับในระดับโลก ซึ่งสหรัฐไม่มีทางยอม”
เพิ่มทุนก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์
Bitkub วางแผนเพิ่มทุนรอบที่ 3 ภายในปีนี้ ก่อนเข้าตลาด ตั้งเป้ามูลค่าที่ 1,500 ล้านบาท แต่จะขอเพิ่มทุน 150-300 ล้านบาท ใช้ในการ Pre-IPO และเร่งแผนงานต่างๆ ให้เร็วขึ้น คาดว่าจะเข้าตลาดได้ประมาณกลางปีหน้า
“เราต้องการพาร์ตเนอร์เชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ กลุ่มเราไม่ต้องการเงินเพราะว่ากำไรแล้ว เพิ่มทุนรอบแรกเราใช้ไป 41 ล้าน ลงทุนทุกอย่าง รวมถึงจ้างคน รอบที่ 2 เพิ่มทุนเพื่อดันธุรกิจให้โต รอบสุดท้ายเราทำเพื่อประหยัดเวลาในการเข้าตลาดหลักทรัพย์”
นอกจากนี้ Bitkub ยังเล็งสร้าง Bitkubcoin โดยให้บริษัทอื่นเป็นผู้สร้างเหรียญให้ เพราะตามกฎหมาย ก.ล.ต. ห้ามสร้างเหรียญให้กับตัวเอง
ตั้งเป้ายูนิคอร์นตัวแรกของไทย
จิรายุส เชื่อว่า Pomelo 2C2P และ Bitkub เป็น 3 บริษัทที่มีศักยภาพเป็นยูนิคอร์นได้ ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นฟินเทค อุตสาหกรรมอื่นเป็นยูนิคอร์นยากเพราะเกิดช้าเกินไป ไม่ใช่เพราะตลาดไม่ใหญ่พอ ยกตัวอย่างอี-คอมเมิร์ซ ควรเริ่มตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว เพราะถ้ามาพูดตอนนี้แพ้ต่างชาติไปแล้ว ในขณะที่ฟินเทคเพิ่งเกิด
อีกปัจจัยคือ Bitkub มีทีมงานที่แข็งแกร่งร้อยกว่าคน มีความรู้ในวงการบิตคอยน์ กับฟินเทค และเป็นบริษัทสตาร์ตอัพไทยที่สามารถทำกำไรได้ อีกปัจจัยคือ เป็นคนส่วนน้อยที่เห็นถึงความเป็นจริง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็น
คนทั่วไปคิดว่าบิตคอยน์คือแชร์ลูกโซ่ ฟอกเงิน ตลาดมืด หรือเงินของเล่น ทำให้ผู้เล่นใหม่ๆ ที่มีต้นทุนเยอะไม่ข้ามาเล่นในตลาดนี้ ขณะที่ Bitkub เล็งเห็นว่าวงการบิตคอยน์จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการการเงินอย่างมหาศาล ทำให้ไม่มีคู่แข่ง เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
“เรายังไม่ขยายไปตลาดต่างประเทศ เพราะในประเทศไทยยังกำไรได้ 3-5 ล้านบาท เฉพาะคริปโตเคอเรนซี ซึ่งในอนาคตสามารถเทรดได้แทบทุกอย่าง ถ้ายังโตระดับนี้ใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี จะสามารถเป็นยูนิคอร์นที่มีมูลค่า 3 หมื่นล้านบาทได้ โดยที่ไม่ต้องไปต่างประเทศ”
-โกแบร์ เผยผลสำรวจ คนไทยกว่าครึ่งมีเงินออมไม่ถึง 6 เดือน
อศินา พรวศิน – สัมภาษณ์
ทรงกลด แซ่โง้ว – เรียบเรียง