ในงานมอเตอร์โชว์ปีนี้ค่าย MG เปิดตัวพร้อมราคาอย่างเป็นทางการในรุ่น NEW MG ES สเตชั่นวากอนพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ พร้อมแสดงยนตรกรรมครบทุกรุ่นทุกรูปแบบการขับเคลื่อน คันที่เรียกว่าหัวบันไดไม่เคยแห้งก็คือ NEW MG MAXUS 9 รถลักชัวรี่ MPV แบบ 7 ที่นั่งสุดหรู คันนี้เป็นรถพวงมาลัยขวาคันแรกของประเทศไทยและอาเซียน เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่นและฟีเจอร์ล้ำสมัยสุดอลัง
MAXUS 9 เป็นรถที่โดดเด่นบนบูธของ MG มีผู้ชมให้ความสนใจมากมาย ด้วยขนาดเรือนร่างที่ใหญ่โตผสานความลงตัวกับงานดีไซน์ล้ำสมัย ด้วยความยาวตัวรถที่มากถึง 5,270 มม. กว้าง 2,000 มม. สูง 1,840 มม. ความยาวช่วงล้อมากถึง 3,200 มม. ถ้าเทียบกับ MPV ฝั่งญี่ปุ่นเจ้าตลาดมีความยาวมากกว่า 300 มม. ความยาวช่วงล้อยาวกว่าราว 200 มม. แม้ตัวรถจะใหญ่แต่ดูปราดเปรียวไม่เทอะทะ หรูหราด้วยหลังคา Dual Panoramic Sunroof ยาวถึงด้านหลังทำให้ห้องโดยสารดูโปร่ง ความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารปรับอัตโนมัติ 4 ทิศทาง และเบาะนั่งแถวที่สองแบบ VIP Captain Seat ที่มีระบบบันทึก ระบบนวด และสามารถปรับระดับอุณหภูมิ ได้ตามต้องการ และที่เหนือกว่าคือสามารถปรับระยะของเบาะได้ถึง 4 ทิศทาง นอกเหนือจากการขยับเดินหน้าถอยหลังแล้วยังขยับซ้ายขวาได้ด้วยเพื่อความสะดวกสบายสูงสุดของผู้โดยสาร ระบบความปลอดภัยครบคันด้วย ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM มากถึง 25 ระบบ พร้อมมาตรฐานความปลอดภัย 5 ดาว จาก EURO NCAP และ AUSTRALIAN NCAP ซึ่ง NEW MG MAXUS 9 มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น X – LUXURY และ รุ่น V – SUPER LUXURY
MAXUS 9 ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุดที่ 245 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ใช้แบตเตอรี่ความจุขนาด 90 kWh ให้ระยะเดินทางสูงสุด 430 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จด้วยไฟ AC Charge สูงสุด 11 kW ระยะเวลาการชาร์จจาก 0 – 100 % ใช้เวลา 8.5 ชั่วโมง รองรับ DC Charge สูงสุด 120 kW ระยะเวลาการชาร์จจาก 10 – 80 % ใช้เวลา 40 นาที ในการใช้งานปกติในเมืองวิ่งได้สัก 320 – 350 กม. แล้วเหลือแบตเตอรี่ราว 10-15 % ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานในเมือง การเดินทางไกลวิ่งระยะสัก 250 – 300 กม. ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง พักเข้าห้องน้ำ หากาแฟดื่ม หรือ อาหารรองท้อง พร้อมกับชาร์จไปด้วยสัก 20 – 30 นาที ก็น่าจะทำให้มีแบตเตอรี่มีความจุในราว 70 – 80 % ก็เพียงพอที่จะไปต่อได้ เพียงแค่เลือกสถานีชาร์จที่จ่ายไฟได้เกิน 120 kW
อีกเหตุผลหนึ่งที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามคือเป็นรถที่ตรงกับลักษณะการใช้งานของหลายๆ คน ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งการใช้งานสำหรับครอบครัวและเชิงธุรกิจ สิ่งสำคัญคือราคาที่คาดเดาว่าจะอยู่ในช่วง 2.3 – 2.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับรถเจ้าตลาดราคาเริ่มต้นราว 3.8 ล้านบาท ในรุ่นท้อปราคาทะลุไปถึงราว 5.5 ล้านบาทเลยทีเดียว ในขณะที่มิติตัวรถใหญ่กว่ากว้างขวางกว่าเรื่องความหรูหราแทบไม่ต่างกัน การใช้งานจริงยิ่งสะดวกกว่าตรงตอบโจทย์การใช้งานทั้งรูปแบบครอบครัวและภาคธุรกิจ เพราะสามารถจอดเปิดแอร์ได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ผิดกฎหมายและไม่สร้างมลพิษนั่นเอง แม่บ้านที่ต้องไปรับส่งลูกสามารถไปจอดรอได้ก่อนเวลาไม่ต้องไปวนหาที่จอดช่วงโรงเรียนใกล้เลิก พาผู้สูงอายุไปหาหมอ หรือจะใช้เป็นที่เจรจาธุรกิจก็สามารถทำได้ ท่านที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวจะปรับด้านหลังเป็นห้องนอนก็สามารถทำได้สบาย เพราะการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าตอนจอดเปิดแอร์อย่างเดียวก็ต่ำมากๆ อย่างที่เคยทดสอบใน MG ZS EV สิ้นเปลืองพลังงานราว 1 % ใน 1 ชั่วโมง ถ้าห้องโดยสารใหญ่ของ MAXUS 9 จะกินไฟสัก 1.5 – 2 % ก็เป็นเรื่องที่รับได้