HomeBusinessAutoNew MG Maxus 9 Premium e-MPV ออฟชั่นล้นในราคาเพียง 2.699 ล้าน e-MPV ที่ขับสนุกเกิดคาดนั่งสบายไม่แพ้รถ MPV...

New MG Maxus 9 Premium e-MPV ออฟชั่นล้นในราคาเพียง 2.699 ล้าน e-MPV ที่ขับสนุกเกิดคาดนั่งสบายไม่แพ้รถ MPV ระดับ 5 ล้าน

เป็นรถ MPV ที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากทั้งความหรูหราสวยงามแผงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม แค่ช่วง 7 วันแรกในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมามียอดจองไปแล้วถึง 700 คัน เมื่อจบงานจนถึงวันนี้มียอดจองรวมกว่า 1,800 คัน เมื่อเปิดราคาและรุ่นย่อยออกมายิ่งทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ด้วยราคาเริ่มต้นในรุ่น X อยู่ที่ 2.499 ล้าน รุ่น V ราคา 2.699 ล้าน ไม่แปลกเลยที่ตลอดการเดินทางใน กิจกรรม “MG EV FAMILY TRIP” เส้นทาง กรุงเทพฯ – เขาใหญ่ จะมีแต่สายตาที่จับจ้องตลอดเส้นทาง ในทุกจุดที่แวะมีแต่คนมารุมล้อมมากมาย


รุ่นรถมิติตัวรถ
Wheelbaseยาวกว้างสูงระยะต่ำสุดถึงพื้นขนาดล้อ/ยางราคา
MG Maxus 93,2005,2702,0001,840140235/55R19รุ่น V 2,699,000
VW Caravelle3,4005,3041,9041,990202215/60R17เริ่มต้น 4,980,000
TOYOTA Alphard3,0004,9351,8501,895160235/50R183.5 VIP 5,458,000
KIA Grand Carnival3,0905,1551,9951,740172235/60R18SXL 2,594,000
HYUNDAI Staria3,2735,2531,9971,990186235/55R18Puemium 2,399,000


เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นว่าตัวรถมีขนาดใหญ่มาก ตัวรถดูไม่สูงมากแต่มีความกว้างตามสไตล์รถยุคใหม่ แนวของฝากระโปรงหน้าลาดต่ำเหมือนรถซีดานมากกว่าจะเป็นรถ MPV เมื่อมองจากมุมข้างตรงจะเห็นแนวบานกระจกขนาดใหญ่ยาวต่อเนื่องยิ่งทำให้รถดูใหญ่มากขึ้นไปอีก กระจกบังลมหน้าและกระจกคู่หน้าเป็นกระจกใส ส่วนบานที่เหลือเป็นกระจกสีดำตัดแสงที่มีความเข้มค่อนข้างมาก เอาเป็นว่าจะไม่ติดฟิลม์กรองแสงในส่วนนี้เลยก็ได้ ประตูข้างแบบบานสไลด์เปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้ากระจกสามารถเลื่อนลงได้สุดบานถือว่าเป็นอีกจุดที่น่าสนใจเพราะเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานได้หลากหลายยิ่งขึ้น คู่แข่งหลายคันเปิดไม่ได้บางคันก็มีช่องกระจกเล็กๆ ที่เปิดได้แค่เล็กน้อยการใช้งานจริงจะไม่ค่อยสะดวกนัก มุมมองด้านหลังดูสมส่วนลงตัวตามสไตล์ Puemium MPV มีความแบนกว้างไม่ดูสูงโย่งเป็นรถตู้

- Advertisement -


ทัศนะวิสัยดีขับง่าย

เมื่อไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัยและปรับท่านั่งจนเข้าที่เข้าทางแล้ว สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือเรื่องของทัศนะวิสัยในการมองเห็นรอบด้านที่ดี ใช้เวลาปรับตัวไม่นานก็ชินกับการกะระยะโดยรวม มีกล้อง 360 องศามาช่วยเพิ่มการมองเห็นรอบด้าน ตำแหน่งท่านั่งของผู้ขับขี่ใกล้เคียงกับรถสไตล์ SUV รถในกลุ่มนี้บางคันท่านั่งของผู้ขับขี่ใกล้เคียงรถตู้นั่งขับแล้วไม่ค่อยสบายนัก ตำแหน่งเสา A ไม่บดบังทัศนะวิสัยในการมองเห็นเวลาอยู่หลังพวงมาลัยนานๆ ยังมีความผ่อนคลาย การใช้งานหน้าจอแสดงผลของผู้ขับขี่ขนาด 7 นิ้วดูเล็กไปนิดมองยากไปหน่อย ถ้ามี head up display มาให้ด้วยจะดีมาก หน้าจอกลางขนาด 12.3 นิ้วรวมการปรับฟังก์ชั่นส่วนใหญ่ไว้ที่จอนี้ซึ่งปรับง่ายไม่ซับซ้อน กระจกมองหลังเป็นกล้องที่ส่งภาพตรงมาจากท้ายรถ นอกจากให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้โดยสารตอนหลังแล้ว ยังเพิ่มทัศนะวิสัยในการมองเห็นด้านหลังสำหรับผู้ขับขี่ได้ดีมาก ด้วยการแสดงผลมุมมองกว้างเท่าๆ กับระยะซ้าย/ขวาของกระจกมองข้าง โดยไม่มีภาพภายในห้องโดยสารมาบดบังกลางคืนมีภาพการแสดงผลที่ชัดเจน รวมถึงเพิ่มความปลอดภัยเวลาฝนตกได้มากเพราะภาพที่เห็นเหมือนเช็ดกระจกทั้งบานตลอดเวลา เบาะผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง มีระบบปรับอุณหภูมิพร้อมเบาะนวดปรับไป 8 โปรแกรมพร้อมความหนักเบาะ 3 ระดับ บอกเลยว่านวดได้สะใจปรับหนักก็คือหนักลดความเมื่อยล้าในการเดินทางได้มาก เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้าได้ 4 ทิศทางพร้อมระบบนวดและปรับอุณหภูมิแบบเดียวกัน


เปิดประสบการณ์การเดินทางระดับ First Class

ใน New MG Maxus 9 รุ่น V ไฮไลท์จริงๆ คือเบาะนั่งแถวที่สองแบบ Captain Seat มีฟังก์ชั่นนวดและปรับอุณหภูมิแบบเดียวกับเบาะคู่หน้า เหนือชั้นกว่าด้วยการสั่งงานผ่าน INDIVIDUAL TOUCHSCREEN CONTROL ซึ่งแยกอิสระของในแต่ละฝั่ง เบาะนั่งมีขนาดใหญ่นั่งสบายปรับเอนนอนและปรับตามจุดต่างๆ ได้ละเอียด รวมถึงการปรับเลื่อนได้ 4 ทิศทางทั้งเดินหน้าถอยหลังขยับซ้ายและขวาถือว่าเป็นจุดเด่นที่น่าในใจมากๆ พร้อม Memory 3 ตำแหน่ง หน้าจอนี้สามารถควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศ ควบคุมการทำงานของหลังคา Dual Panoramic Sunroof ปรับอุณหภูมิเบาะอุ่น / เย็น ควบคุมกระจกข้าง การปรับโทนสีของ Ambient light 64 เฉดสี


และระบบอื่นๆ ได้อีกหลากหลาย บริเวณพนักท้าวแขนเมื่อเปิดขึ้นมาจะมีโตะขนาดเล็ก ช่วยเพิ่มอรรถะประโชยน์ในการใช้งานให้มากขึ้นมีความแข็งแรงดี เบาะนั่งแถว 3 ถือว่านั่งสบายในเพียงแต่ในรุ่น V การเดินผ่านเบาะแถว 2 จะลำบากไปนิด ถ้าเป็นรุ่น X เบาะแถว 2 จะกะทัดรัดทำให้การเดินผ่านสะดวกสบายกว่า ฟังก์ชั่นการทำงานและระบบอำนวยความสะดวกถือว่ามีให้ครบครัน ระบบปรับอากาศแบบแยกอิสระ 3 โซน ในรถคันที่ทดสอบนั้นยังไม่ได้ติดฟิลม์กรองแสงระบบปรับอากาศทำงานได้อย่างน่าพอใจเย็นฉ่ำทั่วทั้งคัน


245 แรงม้า 350 นิวตัน-ม. อาจจะดูไม่แรงมากแต่บอกเลยว่าขับสนุก!  

ตัวเลขสมรรถนะนั้นสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม. ได้ในเวลา 8.9 วินาที สัมผัสแรกเมื่อเริ่มแตะคันเร่งลงไปการตอบสนองของแรงบิดมาให้สัมผัสในทันทีการตอบสนองของคันเร่งมีความฉับไวมาก ถ้าปรับตัวให้เข้ากับการตอบสนองของคันเร่งได้จะทำให้การขับขี่สนุกมากขึ้น ตามปกติแล้วระบบจะตั้งค่า Kers mode ไว้ที่ระดับ 3 นั่นคือการชาร์จกลับในขณะที่ยกคันเร่งหรือเบรกเข้มข้นสุด หมายความว่าถ้ายกคันเร่งเร็วตัวรถจะมีอาการดึงแรง ถ้ากดคันเร่งแรงด้วยก็จะมีอาการกระชากบอกเลยว่าผู้โดยสารต้องเพิ่งยาลมยาดมยาหม่องไม่ก็ขอแวะข้างทางแน่นอน ถ้าคุณปรับตัวเข้าหาการตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้าแบบนี้ได้ใน Kers mode ระดับ 3 แทบจะไม่ได้ใช้เบรกเลยยกเว้นตอนใกล้หยุดสนิท สำหรับผู้ขับขี่จะรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้นเพราะไม่ต้องคอยละขาจากคันเร่งไปหาแป้นเบรก ถ้ารู้สึกว่าการปรับตัวให้เข้ากับระบบเป็นเรื่องยากก็เลือกการชาร์จกลับในระดับ 1 ซึ่งมีแรงดึงน้อยได้ ในความรู้สึกถ้าเทียบกับรถยนต์สันดาปเกียร์อัตโนมัติระดับ 1 ก็ยังมีแรงหน่วงกว่าค่อนข้างชัด ถ้าไม่อยากให้คนนั่งเวียนหัวต้องยกคันเร่งเบาๆ


การเร่งแซงนั้นรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อน ต้องการการกดคันเร่งที่นุ่มนวลต่อเนื่องการเร่งแซงจะมีความสมูทต่อเนื่องไม่กระโชกโฮกฮาก การกดคันเร่งคิกส์ดาวน์แบบที่เราเคยชินไม่เหมาะเพราะมอเตอร์ไฟฟ้ามันต้องรอรอบเหมือนเครื่องยนต์ ยิ่งนุ่มนวลกับคันเร่งยิ่งมีความสมูทและขับสนุก การใต่เพดานความเร็วขึ้นไปสู่ความเร็วเดินทางระดับ 110-120 กม./ชม.นั้นทำได้ต่อเนื่องรวดเร็ว ในความเร็วเดินทางระดับนี้การเพิ่มหรือลดความเร็วทำได้ดี ถือว่าเป็นรถที่มีอัตราเร่งต่อเนื่องดีขับสนุกมาก การเก็บเสียงในความเร็วเดินทางระดับ 120 กม./ชม. ทำได้ดีเสียงค่อนข้างเงียบ เวลาวิ่งทางยกระดับหรือเจอลมปะทะด้านข้างแรงๆ อาจจะมีความรู้สึกวูบวาบมาก


การตอบสนองของช่วงล่างในรุ่น V ยางเป็นแบบ Runflat tyres ในความเร็วต่ำหรือเจอรอยต่อถนนคอนกรีตอาจจะมีอาการสะเทือนจากยางบ้างแต่ถือว่ายอมรับได้ การทรงตัวออกแนวหนึบแน่นตัวรถมีน้ำหนักราวๆ 2.8 ตัน รวมผู้ขับขี่และผู้โดยสารอีก 6 คน การตอบสนองจะออกแนวนุ่มแต่แน่นหนึบไม่แข็งกระด้างไม่โยนตัววูบวาบ ลองวิ่งเส้นสระบุรีเลนซ้ายที่ถนนเป็นลอนคลื่นค่อนข้างเยอะ ความเร็วประมาณ 100-110 กม./ชม. ตัวรถไปแบบนิ่งๆ ไม่ค่อยมีอาการสะเทือนส่งมาภายในห้องโดยสารมากนักแต่รู้สึกว่าช่วงล่างทำงานหนักเอาเรื่อง พวงมาลัยปรับน้ำหนักได้ดีให้ความมั่นใจในการบังคับควบคุมลดความเมื่อยล้าในการเดินทางไกลได้เยอะ การตอบสนองของระบบถือว่าทำได้น่าประทับใจด้วยน้ำหนักตัวรถและน้ำหนักบรรทุกขนาดนี้ การตอบสนองของระบบเบรกฉับไวนุ่มนวลสามารถคอนโทรลระยะเบรกได้ตามต้องการ ที่พูดถึงนี้คือการวัดจากความรู้สึกในการใช้ Kers mode ระดับ 1 คือใช้เบรกเป็นหลัก ส่วนตัวชอบ Kers mode ระดับ 3 มากกว่า ระบบจะทำงานคล้าย One Pedal กดคือเร่งยกคือชะลอความเร็ว ยกช้าๆ เบาๆ จะชะลอความเร็วไม่มาก ยกคันเร่งเร็วๆ เหมือนใช้เบรกเมื่อปรับตัวคุ้นเคยกับระบบได้แล้วบอกได้เลยว่าขับสนุกมาก


540 กม. ( NEDC ) วิ่งจริงได้เท่าไหร่?

ตัวรถใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion จัดวางแบบ Cell To Pack ขนาดความจุ 90 kWh สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 540 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ในตัวรถสามารถเลือกการแสดงผลระยะทางที่วิ่งได้มีสองโหมด คือ Standard โหมดนี้จะแสดงตัวเลขในมาตรฐาน NEDC แต่ถ้าเลือกไปโหมด Dynamic จะกลายเป็นการแสดงผลในมาตรฐาน WLTP ซึ่งจะใกล้เคียงการขับขี่จริงมากกว่า เมื่อสลับจากโหมด Standard ตัวเลข 540 กม. มาเป็นโหมด Dynamic ตัวเลขจะอยู่ที่ราว 420 – 440 กม. ซึ่งการประมวลผลในโหมดนี้จะคำนวณจากลักษณะการขับขี่ก่อนหน้าด้วย ในการขับขี่ช่วงแรกความเร็วเดินทาง 120 กม./ชม. มีการลองสมรรถนะเรื่องของการเร่งแซงค่อนข้างบ่อยหน่อย ระยะทางที่วิ่งจริง 110 กม. แต่ตัวเลขบนหน้าปัดอยู่ที่ประมาณ 130 กม. ( ใช้ตัวเลขระยะที่วิ่งได้ก่อนออกเดินทาง มาลบกับตัวรถระยะที่วิ่งได้เมื่อถึงที่หมาย ) ขากลับใช้ความเร็วเดินทางใกล้เคียงกันคือ 120 กม./ชม. คราวนี้ใช้คันเร่งอย่างนุ่มนวล Kers mode ระดับ 3 เนียนๆ คันเร่งหน่อยแต่ไม่ได้วิ่งช้าเลย ระยะทางขากลับจากเขาใหญ่ประมาณ 170 กม. ระยะทางบนหน้าปัดหักลบแบบขาไปแล้วอยู่ที่ 185 กม. ถือว่าใกล้เคียงความเป็นจริง ถ้าวิ่ง 110-120 กม./ชม.แล้วใช้คันเร่งเนียนๆ ตัวเลขใกล้เคียงความเป็นจริงมาก


เดินทางไกลเป็นปัญหากับการใช้งานหรือไม่?

ตัวรถรองรับการชาร์จ AC สูงสุด 11 kW กับแบตเตอรี่ความจุ 90 kWh ถือว่าเพียงพอ การชาร์จ DC รองรับ 120 kWh ตามสเปคบอกว่าชาร์จจาก 30-80 % ใช้เวลา 36 นาที จากที่ลองใช้จริงชาร์จขณะที่แบตเตอรี่เหลืออยู่ 36% ชาร์จถึง 80% ใช้เวลา 30 นาที จากตู้ชาร์จ 135 kW ที่มีการจ่ายไฟจริงราว 80-90 kW แปรผันการควบคุมแรงดันของการไฟฟ้าด้วย ยังไม่โอกาสได้ลองตู้ชาร์จที่แรงระดับ 180 kW ขึ้นไป ถ้าเจอตู้ชาร์จที่จ่ายได้เต็มกำลังรับของรถคือ 120 kW ระยะเวลาน่าจะลดลงไปพอสมควร อีกเรื่องที่น่าประทับใจคือการชาร์จกลับใน Kers mode ระดับต่างๆ แนะนำว่าถ้าขับทางเขาที่คดเคี้ยวและสูงชันแนะนำให้ใช้ Kers mode ระดับ 3 เพราะใช้เบรกน้อยมากควบคุมรถได้ง่ายกว่า และชาร์จไฟกลับได้เต็มที่สำคัญลองวิ่งจากบนเขาใหญ่ลงมาด่านเนินหอม จากระยะทางก่อนลงเหลือระยะวิ่งได้ราว 209 กม. เมื่อลงมาถึงหน้าด่านหมูสี เหลือระยะวิ่งได้อีก 203 กม. ทั้งๆ ที่ระยะทางวิ่งจริงคือ 16 กม. นับว่าเป็นจุดเด่นที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก ในการชาร์จไฟ DC รถส่วนใหญ่เมื่อระดับแบตเตอรี่ถึง 80% แล้วจะเริ่มรับไฟเข้าช้า แต่ใน Maxus 9 คันนี้เท่าที่ลองสังเกตจากการชาร์จหลายๆ ครั้ง จากระดับความจุประมาณ 30% ตอนเริ่มต้น ช่วง 80-90% ก็ยังรับไฟเข้าได้เร็วอยู่ แต่เมื่อถึงระดับ 90% แล้วจะช้าลงอย่างเห็นได้ชัดไม่จำเป็นต้องชาร์จเกินนี้เสียเวลาเปล่าๆ กรณีต้องใช้เวลาในจุดชาร์จนานอยู่แล้วและต้องเดินทางไกลจาก 80-90% จะรอเพิ่มอีกสัก 10-15 นาทีถือว่ารับได้

ซื้อหรือไม่ซื้อในราคา 2,699,000 บาท?

ถ้าคุณยังเปิดใจรับรถพลังไฟฟ้าไม่ได้ก็ข้ามไปเลย แต่ถ้าพอมีใจกับรถไฟฟ้าบ้างบอกเลยว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิด ด้วยออฟชั่นที่พอๆ กับรถราคา 5 – 5.4 ล้าน การใช้งานจริงขับปกติในเมืองหรือเดินทางไปกลับวันละ 100-200 กม. เป็นเรื่องสบายๆ เลย ยิ่งชาร์จไฟ AC หลัง 22.00 น. ยิ่งมีค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรถูกมาก สำหรับการเดินทางไกล วิ่งจริงความเร็วเฉลี่ย 110-120 กม./ชม. ใช้คันเร่งนุ่มนวล ในโหมด Dynamic ตัวเลขโชว์บนหน้าปัดราว 420-440 กม. วิ่งจริง 350 กม. เหลือแบตเตอรี่ราว 20% ถือว่าเพียงพอ เพราะการเดินทางไกลราว 2-3 ชม. เรามักจะแวะพักหนึ่งครั้งถ้ามีผู้สูงอายุและเด็กร่วมเดินทาง ใช้เวลาในปั๊มราว 20-30 นาทีเป็นเรื่องปกติ แค่วางแผนการเดินทางเพิ่มขึ้นนิดเวลาประมาณนี้สามารถเติมแบตเตอรี่ได้ราว 70-80% สามารถไปต่อได้อีกราวๆ 300 กม. แวะชาร์จครั้งเดียวถึงเชียงใหม่สบายๆ สิ่งหนึ่งที่ควรเพิ่มเติมคือควรเพิ่มตัวเลข % แบตเตอรี่บนหน้าจอด้วย การขับขี่ปกติจะเห็นแค่ระยะทางที่วิ่งได้จะเห็นระดับ % แบตเตอรี่ก็เมื่อเสียบชาร์จเท่านั้น ตอนนี้ทาง MG เริ่มทยอยส่งมอบให้กับลูกค้าโดยมียอดส่งมอบได้ราว 300 คันต่อเดือน ถ้าไม่อยากรอนานรีบตัดสินใจ และถ้าถามว่าระหว่างรุ่น X และ V ที่มีส่วนต่าง 200,000 บาทควรเลือกรุ่นไหนดี ลองถามร้านทำเบาะแนว VIP จะรู้ว่าเบาะดีๆ ราคาคู่ละ 120,000-150,000 บาท ยังเทียบกับเบาะในรุ่น V ไม่ได้

Business Today
Business Todayhttps://businesstoday.co
Supporting Thailand's business communities./ FB Page: Business Today Thai/ Social: Business Today Thai (สำหรับ Twitter, YouTube, Telegram)/ LINE: @Business today/ เว็บที่เกี่ยวข้อง: Thailand Today: www.thailandtoday.co/ FB: Thailantoday.co (English)/ Thailand Today News: www.thailandtoday.news/ FB: Thailandtoday.news (Mandarin Chinese)

Latest

ติดตามข่าวสารอัพเดททันใจจาก Businesstoday ได้โดยกรอกอีเมลด้านล่าง

Related News