HomeBusinessAutoFORD Ranger Wildtrak 2.0L Bi-Turbo 4x4 10 AT ปรับราคาขึ้นจากเดิมอีก 15,000 บาท เป็น...

FORD Ranger Wildtrak 2.0L Bi-Turbo 4×4 10 AT ปรับราคาขึ้นจากเดิมอีก 15,000 บาท เป็น 1,314,000 บาท

โดย:ภาคภูมิ วรรณแสง บรรณาธิการ Auto-Business Today

ตอนนี้กลุ่มผู้บริโภคที่ซื้อรถกระบะสี่ประตูตัวท้อปเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวันนั้น แยกออกเป็นสองกลุ่มชัดเจนกลุ่มแรกคือยึดถือและชื่อมั่นแบรนด์เป็นที่สุด กับกลุ่มที่สองคือเลือกซื้อรถจากความคุ้มค่าคุ้มราคาออปชั่นและเทคโนโลยีใหม่ๆ ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตามเราใช้อารมณ์และความรู้สึกมากกว่าเหตุผลในการซื้อรถยนต์อยู่แล้ว มันอยู่เหนือเหตุผลทั้งปวงแต่การซื้อรถที่ชอบคือสิ่งควรทำเพราะทำให้คุณมีความสุข ข้อดี ข้อด้อยบางอย่างเราสามารถปรับแต่งหรือปรับตัวเข้าหารถได้

- Advertisement -

ในกลุ่มของรถกระบะนั้นต้องยอมรับว่า FORD Ranger เป็นผู้สร้างปรากฎการณ์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราคาทะลุล้าน แรงม้าในระดับ 200 แรงม้าทำเอาเพื่อนๆ ในกลุ่มมองค้อนกันเป็นแถว เทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบ 5 สูบทันสมัยกว่าใคร จากนั้น  FORD Ranger ก็เป็นผู้สร้างปรากฎการณ์เรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวเครื่องยนต์ 2.0L Bi-Turbo 213 แรงม้า กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ตามมาด้วย FORD Ranger Rapter ที่นับว่าเป็น Hi-Performance Pickup ที่ถูกพัฒนามาพร้อมลงสนามได้เลยโดยไม่ต้องปรับแต่งอะไร จากนั้นตามมาด้วย FORD Ranger FX4-Max สำหรับสายลุยที่ถอยออกจากโชว์รูมก็เข้าป่าได้เลย

เมื่อมาถึงเจเนอเรชั่นใหม่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย อย่างแรกคือการลงทุนเพิ่ม 28,000 ล้านบาทเพื่ออัพเกรดโรงงานสู่การขับเคลื่อนยุคใหม่ ซึ่งเราเห็นได้จากตัวรถที่นำเสนอออกมาว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่พร้อมไปสู่การขับเคลื่อนแบบไร้มลพิษ หลายคนที่ไม่ชอบก็บอกว่าแพงแต่คนที่ชอบก็บอกว่าคุ้ม คนที่เลือกซื้อด้วยเหตุผลในเรื่องของความคุ้มค่าเงินต่างบอกว่าตอบโจทย์โดยเฉพาะเรื่องของความคุ้มค่าคุ้มราคา ถ้าคุณซื้อรถเพราะความชอบก็ซื้อรถที่คุณชอบแต่ถ้าซื้อรถเพราะต้องการเลือกๆ ที่คุ้มค่าคุ้มราคาสมกับเม็ดเงินที่จ่ายไปคุณมาถูกทางแล้ว “คำว่าแพง” กับ “คุ้มค่าเงิน” นั้นมันต่างกันเพียงเส้นบางๆ ของความรู้สึก

FORD Ranger ในรหัส T6 เปิดตัวครั้งแรกในราวปี 2012 มาพร้อมแชสซีใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมมาก พร้อมกับเครื่องยนต์ 2 พิกัดคือ 3.2 ลิตร และ 2.2 ลิตร มีทั้งเกียรอัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ในส่วนของบอดี้นั้นมีการปรับโฉมใหญ่ 2 ครั้งด้วยกัน แต่ในเรื่องของแชสซีมีการปรับเล็กๆ น้อยๆ สำหรับ  Next-Generation FORD Ranger ใหม่ บอดี้นับว่าเป็นการปรับโฉมครั้งที่ 3 จะเรียกรหัส T6.2 ก็คงไม่ผิดนัก ความยาวสั้นลงกว่าเดิม 6 มม. กว้างกว่าเดิม 51 มม. และสูงขึ้น 36 มม. ในส่วนของแชสซีนั้นถือว่าเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ อย่างแรกคือการขยับมุมปะทะ ( Approach ) ไปใกล้กันชนหน้าเพิ่มขึ้น 50 มม. ส่งผลให้ความยาวฐานล้อเพิ่มเป็น 3,270 มม. เพิ่มความสามารถในการลุยจาก 28.5 องศา เป็น 30 องศา ทำให้ใต่มุมชันได้มากขึ้น และ มุมจาก ( Departure ) เพิ่มจาก 21 องศา เป็น 23 องศา ลดโอกาสกันชนท้ายครูดได้มากขึ้น ความสูงใต้ท้องเพิ่มจาก 230 มม. เป็น 235 มม.

แชสซีปรับเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เห็นได้ชัดคือการปรับปรุงแชสซีเป็นแบบ 3 ชิ้น ข้อดีคือให้ตัวได้มากขึ้น การให้ตัวของแชสซีในแต่ละส่วนนั้นมีการตอบสนองที่แตกต่างกัน เห็นผลได้ชัดเจนมากทั้งออนโร้ดและออฟโร้ด ปรับค่าเรทสปริงของแหนบใหม่ และขยับจุดยึดช็อคอับไปไหว้ด้านนอกของแชสซีเข้าไปใกล้ล้อมากขึ้น ช็อคอับเปลี่ยนมาใช้แบบ Mono-Tube ข้อดีในการขับขี่ทางออนโร้ดไกลๆ นั้นตัวรถมีความนิ่งขึ้นมากโดยเฉพาะในเส้นทางที่คดเคี้ยว พูดง่ายๆ คือช็อคอับไปอยู่ใกล้ปลายเพลาเมื่อช่วงล่างเริ่มยุบตัวหรือมีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นซ็อคอับก็สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ทันที ในเส้นทางออฟโร้ดยิ่งเห็นผลได้ชัดเจนการดูดซับแรงสั่นสะเทือนทำได้ดีมากยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกในทางออฟโร้ดใกล้เคียงตัว FX4-Max ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ อาจจะแตกต่างกันเรื่องการยึดเกาะเพราะใช้ยางคนละประเภท

ถ้าไม่นับ FORD Ranger Rapter เจ้า FORD Ranger ในอนุกรมของ Wildtrak ให้มาด้วยระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ แม้ไม่ใช่เจ้าแรกในตลาดก็ตามที การทำงานของเบรกในเส้นทางขึ้นเขาลงเขา รวมถึงในเส้นทางออฟโร้ดนั้นตอบสนองได้ดีมากมีการระบายความร้อนที่ดี เมื่อทำงานร่วมกับระบบช่วยลงทางชันไม่มีการเบรกเฟดหรือมีกลิ่นไหม้ให้รู้สึกเสียว ระบบช่วงล่างและจุดยึดหลายๆ จุดปรับปรุงใหม่หมดทำให้การทรงตัวและการยึดเกาะถนนทำได้ดีมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนชัดเจน เครื่องยนต์ Bi-Turbo 2.0 ลิตรปรับจูนใหม่แรงม้าหายไป 3 ตัว เหลืออยู่ 210 แรงม้าแต่ไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่าง จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดเช่นเดิม ทั้งเครื่องยนต์และเกียร์ถูกแก้ไขปัญหาที่เคยมีมาเรียบร้อย เกียร์นั้นเปลี่ยนทอร์คคอนเวอร์เตอร์ใหม่และขยายการรับประกันเป็น 5 ปี 150,000 กม. การตอบสนองบนทางราบรู้สึกการตอบสนองของคันเร่งช่วงออกตัว กับการตอบสนองบนทางชันทำได้กระชับกระเฉงขึ้น

เส้นทางทดสอบใช้เส้นถนน ตก 3054 จากแม่ระมาด – บ้านเลอตอ – แม่ตื่น ระยะทางประมาณ 72 กม. ก่อนหน้านี้เป็นเส้นทางธรรมชาติตอนนี้ถูกพัฒนาเป็นทางคอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นเส้นทางที่ชันและแคบเอาเรื่องจุดที่ชันที่สุดคือ 34 % เสียดายอยู่ในจุดที่จอดไม่ได้ ได้มาเพียงแค่ป้าย 31 % เป็นช่วงเวลาที่ได้เห็นว่าการมีเกียร์ถึง 10 สปีดช่วยให้การเดินทางเส้นทางลักษณะนี้ทำได้ราบลื่น ตำแหน่งเกียร์ที่ใช้อยู่ในตำแหน่ง 1, 2, 3 และ 4 กว่าจะได้ขึ้นเกียร์ 5 ก็เกือบปลายทางแล้ว อัตราทดเกียร์ที่ถี่มีอัตราทดที่ไม่ห่างมากการขับขี่เส้นทางแบบนี้ใช้รอบเครื่องไม่มาก เสียงเครื่องแทบไม่มารบกวนช่วงที่ชันมากๆ สามารถเลือกใช้ระบบช่วยลงทางลาดชันได้สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ราว 32 กม. / ชม. ช่วยให้มือใหม่ขับได้อย่างปลอดภัยลดโอกาสเบรกไหม้เบรกเฟดได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ ในทางราบนั้นการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จะเป็นไปอย่างเหมาะสมอัตโนมัติ เช่นออกตัวด้วยตำแหน่งเกียร์ 2 แล้วอาจจะข้ามไป 4, 6, 7 หรือข้ามไปตำแหน่ง 9 ก็ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นทางและลักษณะการใช้คันเร่ง

การเดินทางไกลบนทางราบสะดวกสบายยิ่งขึ้นเพราะมีระบบควบคุมความเร็วและรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop & Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Adaptive Cruise Control with Stop-and-Go and Lane Centering) ที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การทำงานของระบบช่วยต่างๆ มีการทำงานที่ละเอียด มีการเตือนไม่พร่ำเพื่อจนน่ารำคาญระบบช่วยเหลือต่างๆ ทำงานได้ราบลื่น บางช่วงที่รถข้างหลังเยอะก็สามารถเติมความเร็วเพิ่มเพื่อไม่ให้ระยะห่างจากคันหน้ามากเกินไปได้ เมื่อยกคันเร่งระยะห่างก็จะถูกปรับให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

ในเส้นทางออฟโร้ดการตอบสนองของช่วงล่างทำได้ดีมาก เก็บแรงสั่นสะเทือนได้ดีต้องยกความดีให้ช็อคอับแบบ Mono-Tube และการเซ็ทค่าเรทสปริงได้ดี โหมดการขับเคลื่อนสี่ล้อคือระบบขับเคลื่อนที่ใกล้เคียงกับแรพเตอร์ การเพิ่มโหมดการขับขี่ในรูปแบบขับเคลื่อนสี่ล้อนั้นจัดมาเต็มกว่าใครในคลาส ซึ่งมันจะช่วยให้มือใหม่หรือผู้ที่นานๆ เข้าเส้นทางธรรมชาติสักครั้ง สามารถขับขี่ได้ง่ายขึ้นเพียงแค่มองให้ออกว่าเส้นทางด้านหน้าเป็นอย่างไร แล้วเลือกโหมดให้เหมาะสมตัวรถจะทำการปรับทั้งการส่งกำลัง ตำแหน่งเกียร์ หรือ แม้แต่ระบบช่วยเหลือต่างๆ ให้ทำงานอย่างเหมาะสมในโหมดนั้นๆ ทำให้การขับขี่ผ่านอุปสรรค์เป็นไปอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะกล้อง 360 องศาที่เข้ามาเพิ่มทัศนวิสัยรอบคันเมื่อเริ่มใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หน้าจอแสดงผลเป็นดิจิตอลขนาด 8 นิ้ว แสดงผลได้ครบถ้วน โดยเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อหน้าจอนี้ช่วยได้มากในเรื่องการแสดงผลของออฟโร้ดมิเตอร์ ทั้งมุมเอียง มุมเงย รวมถึงองศาของล้อหน้า ช่วยได้มากเวลาวิ่งบนถนนที่เป็นโคลนหรือดินเละแบบหนังหมู เราจะหลงทิศทางของพวงมาลัยได้ง่ายทำให้การขับขี่เป็นเรื่องยากขึ้น หน้าจอกลางขนาด 12 นิ้ว รวมเอาระบบอินโฟเทนเมนท์ต่างๆ ครบครัน ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชั่น FORD Pass สามารถเชื่อมต่อกับตัวรถได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อการสตาร์ทรถจากระยะไกล ปรับอุณภูมิรถก่อนเข้าสู่ห้องโดยสาร และแจ้งเตือนสถานภาพรถได้ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงการเชื่อมต่อการสื่อสารได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะการสั่งงานด้วยเสียงเชื่อมต่อกับ SYNC 4A

ถ้ามองในเรื่องของราคา FORD Ranger Wildtrak 2.0L Bi-Turbo 4×4 10 AT ถือว่าแพงสุดในตลาด แต่ก็แพงกว่าคันรองลงมาราว 13,000 บาท แต่ถ้ามาแยกดูของที่มีให้ทั้งเทคโนโลยีของไฟหน้า Matrix LED พร้อมระบบปรับมุมแสงไฟอัตโนมัติ พร้อมระบบป้องกันไฟแยงตา ถึงว่าที่สุดในกลุ่มส่งสว่างได้ไกลมากโดยไม่รบกวนสายตาผู้ใช้รถใช้ถนนท่านอื่น ในการเดินทางจากกรุงเทพฯ – แม่สอด เราเดินทางช่วงกลางคืนตลอดระบบไฟหน้าช่วยให้เห็นทัศนวิสัยได้ดีมาก ไม่ต้องเพ่งสายตาลดความเหนื่อยล้าในการเดินทางไกลยาวๆ ได้มากทีเดียว เมื่อเอาตารางท้ายโปรชัวร์ของรถในกลุ่มเดียวกันมาไล่เรื่องของออปชั่น ระบบอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย และ เทคโนโลยีที่มีให้ ราคา 1,314,000 บาท ถือว่าไม่แพงเลย

Business Today
Business Todayhttps://businesstoday.co
Supporting Thailand's business communities./ FB Page: Business Today Thai/ Social: Business Today Thai (สำหรับ Twitter, YouTube, Telegram)/ LINE: @Business today/ เว็บที่เกี่ยวข้อง: Thailand Today: www.thailandtoday.co/ FB: Thailantoday.co (English)/ Thailand Today News: www.thailandtoday.news/ FB: Thailandtoday.news (Mandarin Chinese)

Latest

ติดตามข่าวสารอัพเดททันใจจาก Businesstoday ได้โดยกรอกอีเมลด้านล่าง

Related News