โดย:ภาคภูมิ วรรณแสง บรรณาธิการ Auto-Business Today


ก่อนปีใหม่มีนโยบายที่จะผลักดันในเรื่องของการสนับสนุนรถ EV ให้เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันใกล้ แต่จนแล้วจนรอดก็เลื่อน เลื่อน และเลื่อน มาจนถึงกลางเดือนแห่งความรัก แม้จะมาช้าสักหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ฝันลมๆ แล้งๆ หลักใหญ่ใจความยังคงคล้ายกับแนวนโยบาลเดิม มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมไม่มากนัก ซึ่งแนวนโยบายนี้จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเลือกใช้รถพลังงานไฟฟ้า
- แบ่งตามกลุ่มรถและระดับราคาจะแบ่งได้ดังนี้
1.สำหรับรถยนต์ ราคาจำหน่ายไม่เกิน 2 ล้านบาท
1.1 ลดภาษีศุลกากรสูงสุด 40% เดิมนั้นรถยนต์นำเข้าจากจีน เสียภาษี 0% ญี่ปุ่น 20% เกาหลี 40% ยุโรปและอเมริกา 80% ถ้าลดสูงสุด 40% อาจจะทำให้รถจากญี่ปุ่นและเกาหลีเหลืออัตราภาษีเท่ากับรถนำเข้าจากจีนคือ 0% จะทำให้ตลาดคึกคักมากขึ้น เนื่องจากรุ่นรถจากญี่ปุ่นและเกาหลีมีตัวเลือกที่น่าสนใจหลายรุ่นมาก
1.2 ได้รับเงินอุดหนุน ตั้งแต่ 70,000 – 150,000 บาท โดยจะแบ่งตามเงื่อนไขของ “ขนาดความจุแบตเตอรี่ สำหรับรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ขนาดความจุต่ำกว่า 30 kWh จะได้เงินอุดหนุน 70,000 บาท ความจุแบตเตอรี่เกิน 30 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 150,000 บาท
1.3 ลดภาษีสรรพสามิต จาก 8% เหลือ 2%
2.สำหรับรถยนต์ราคาจำหน่าย 2-7 ล้านบาท
2.1 ลดภาษีศุลกากรสูงสุด 20%
2.2 ลดภาษีสรรพสามิต จาก 8% เหลือ 2%
***สำหรับผู้ประกอบการในประเทศ
***สำหรับรถที่จำหน่ายในปี 2565-2566 ต้องผลิตชดเชย 1.5 เท่าในปี 2567-2568
ผลิตรถรุ่นใดชดเชยก็ได้สำหรับกลุ่มราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ถ้าเป็นรถที่มีราคาตั้งแต่ 2-7 ล้านบาทต้องผลิตรถรุ่นเดียวกับที่นำเข้า
3. รถกระบะราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
3.1 ภาษีสรรพสามิต เหลือ 0%
3.2 ได้รับเงินอุดหนุน 150,000 บาท สำหรับรถที่มีความจุแบตเตอรี่เกิน 30 kWh
***สำหรับผู้ประกอบการในประเทศ
***สำหรับรถที่จำหน่ายในปี 2565-2566 ต้องผลิตชดเชย 1.5 เท่าในปี 2567-2568
4.รถจักรยานยนต์ราคาไม่เกิน 150,000 บาท
4.1 ได้รับเงินอุดหนุน 18,000 บาท ทั้งรถ CBU และ CKD
***สำหรับผู้ประกอบการในประเทศ
***สำหรับรถที่จำหน่ายในปี 2565-2566 ต้องผลิตชดเชย 1.5 เท่าในปี 2567-2568

หลังจากประกาศออกมาผู้ผลิตรถยนต์เริ่มทยอยขานรับนโยบายนี้ นั่นหมายความว่าเจ้าตลาดเดิมในกลุ่มของรถ EV จะขยับได้ก่อนนั่นก็คือกลุ่มนำเข้าจากจีน ฝั่งเกาหลีเองก็มีรถที่น่าสนใจไม่น้อย แต่การจะลงมาเล่นเต็มตัวต้องเผื่อไลน์การผลิตในปีที่สามนับจากนี้เป็นการลงทุนที่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราต้องผลิตชดเชยถึง 1.5 เท่าสำหรับยอดขายสะสม ฝั่งรถยุโรปที่มีราคาตั้งแต่ 2-7 ล้านดูเหมือนบางค่ายจะไม่น่ากังวลมากนักเพราะมีการเตรียมความพร้อมมาระยะหนึ่งแล้ว ส่วนฝั่งญี่ปุ่นเองที่ดูเหมือนจะไม่ขยับอะไรมากนักในช่วงก่อนหน้านี้ แต่จู่ๆ พอหลังปีใหม่ก็มีการขยับตัวสวนทางกับนโยบายที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ และเป็นค่ายที่มีความพร้อมมากเพราะรถหลายๆ รุ่นสามารถปรับไลน์การผลิตในบ้านเราได้ไม่ยากนัก และดูเหมือนจะเป็นเสือซุ่มที่น่ากลัวเพราะสามารถพลิกเกมกลับได้ไม่ยากเย็น ในงานมอเตอร์โชว์ปีนี้จะได้เห็นความคึกคักของรถยนต์ในกลุ่มนี้ แล้วเราจะนำรถรุ่นที่น่าสนใจมารายงานอย่าต่อเนื่อง เพราะรถไฟฟ้ามาแน่และมาเร็วกว่าที่คิด!
