โดย:ภาคภูมิ วรรณแสง บรรณาธิการ Auto-Business Today

เดิมที ZS EV ถือว่าเป็นรถไฟฟ้าที่มีราคาเอื้อมถึงได้ง่ายสำหรับลูกค้าทั่วไป ในระดับราคา 1,190,000 บาท กับข้อเสนอน่าสนใจหลายอย่างโดยเฉพาะแถมโฮมชาร์จให้ด้วย รุ่นแรกก็มีข้อจำกัดในการใช้งานบ้างทั้งเรื่องของระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ออฟชั่นที่ยังไม่เยอะมากและมีสีตัวรถให้เลือกเพียงสีเดียว การเปิดตัวเวอร์ชั่นปี 2022 นี้เปลี่ยนแปลงในตัวเลือกชัดเจน อย่างแรกมีรุ่นย่อยให้เลือก 2 รุ่น รุ่นเริ่มต้นคาดว่าราคาจะไม่ข้าม 1 ล้านบาท กับรุ่นท้อปในราคาที่ควรเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่เมื่อดูออฟชั่นของตัวเริ่มต้นในราคาที่คุยว่าไม่เกิน 1 ล้านบาทแล้ว อาจจะมีเซอร์ไพรส์ถูกกว่าเดิมซึ่งอาจเป็นไปได้ยาก ถ้าเป็นได้จะทำให้ตลาดคึกคักมากยิ่งขึ้น ลองมาดูข้อมูลที่น่าสนใจระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ก่อนดีกว่า
ข้อมูลทางเทคนิค | New MG ZS EV 2022 | MG ZS EV 2021 |
สมรรถนะมอเตอร์ (แรงม้า) | 177 แรงม้า | 150 แรงม้า |
แรงบิด | 280 นิวตัน-เมตร | 350 นิวตัน-เมตร |
แบตเตอรี่ Lithium-Ion | 50.3 kWh | 44.5 kWh |
ระยะเดินทาง มาตรฐาน NEDC | 403 กิโลเมตร | 337 กิโลเมตร |
Vehicle to Load | 2,200 W |




เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแต่อาจจะงง แรงม้าเพิ่มขึ้นแต่แรงบิดลดลงมันก็มีเหตุผลที่พอเข้าใจได้ แรงบิด 280 นิวตัน-เมตร กับขนาดและน้ำหนักตัวรถเท่านี้มันก็เพียงพอกับการใช้งาน เพราะรถสไตล์ SUV ขับเคลื่อนสองล้อเน้นการใช้งานแรงบิดมากๆ อาจจะเหมาะกับตัวรถ แต่ถ้าแรงบิดลดลงแล้วได้ระยะทางเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งมันเหมาะกับการใช้งานมากกว่า แบตเตอรี่เพิ่มขนาดเป็น 50.3 kWh กับระยะทางเพิ่มขึ้นเป็น 403 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC นั้นระยะทางใช้งานจริงมันจะต่างจากมาตรฐาน WLTP ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉลี่ยตัวเลขมาตรฐาน NEDC ถ้าขับขี่ปกติตัวเลขจะต่ำกว่าพอสมควร แบตเตอรี่มาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ โหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Eco โหมด Normal และโหมด Sport ระบบพวงมาลัย Rack and Pinion ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบช่วงล่างหน้า MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และระบบช่วงล่างหลัง Torsion Beam




การเปิดตัวในรุ่นปี 2022 ครั้งนี้นอกเหนือจากมีสีตัวรถให้เลือก 5 สี คือ สีน้ำเงิน (Como Blue) สีเงิน (Cosmic Silver) สีแดง (Scarlet Red) สีดำ (Black Knight) และสีขาว (Arctic White) ต่างจากครั้งแรกมีเพียงสีเดียวเท่านั้น และการเปิดตัวครั้งนี้มีสองรุ่นย่อยให้เลือก คือ รุ่นเริ่มต้น MG ZS EV D กับราคาค่าตัวคาดว่าไม่เกิน 1 ล้านบาท กับรุ่น MG ZS EV X กับราคาอาจจะไม่เกิน 1.2 ล้านบาท จริงๆ น่าจะถูกกว่าเดิมเพราะอัตราภาษีสรรพสามิตลดลงถึง 6% ราคาเราจะรู้กันวันที่ 22 มีนาคม 2565 ในงานมอเตอร์โชว์ที่จะถึงนี้
เรื่องความปลอดภัยมีครบครัน เริ่มจากโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) ปรับแต่งระบบช่วงล่างแบบ EURO TUNING SUSPENSION และมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยรอบคัน ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System 20 ระบบ ได้แก่
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System) ถือเป็นระบบใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาเป็นครั้งแรก โดยผสานรวมระบบ LDP (Lane Departure Prevention) และ LKA (Lane Keep Assist) เข้าไว้ด้วยกัน
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control)
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
- ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock)
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
- กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
- ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง และระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง
การออกแบบภายในห้องโดยสารมาพร้อมดีไซน์เรียบหรูแฝงไว้ซึ่งความสปอร์ต คอนโซลหน้าลายคาร์บอนไฟเบอร์ และเบาะหนังดำเดินด้ายแดง พร้อมวัสดุบุนุ่มแบบ Soft Touch และฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน
- ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger)
- พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์
- หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอล ขนาด 7 นิ้ว
- หน้าจอสีระบบสัมผัสดีไซน์ใหม่ ขนาด 10 นิ้ว
- หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof)
- เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง
- พื้นที่เก็บสัมภาระปรับได้ 2 ระดับ
- ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติพร้อม ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
- กระจกมองหลังตัดแสง
- ระบบกรองอากาศ PM 2.5
- ลำโพง 6 ตำแหน่ง
- Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android
อดใจรออีกไม่กี่วันก็จะได้ทราบราคาที่แท้จริง ว่าการที่ภาครัฐสนับสนุนในหลายๆ ทางจะทำให้ราคาตัวลดถูกลงมาขนาดไหน
