จากกรณีทางบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มเซ็นทรัลกับเจดีดอทคอม ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซรายใหญ่จากจีน ออกประกาศเป็นทางการเมื่อวานนี้ (30 มกราคม 2566) สรุปว่า ทางบริษัทฯ ขอเรียนแจ้งให้ทราบว่า JD CENTRAL มีความจำเป็นต้องยุติการให้บริการในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวเรื่องนี้ถูกพูดถึงตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมาว่า เจดีเซ็นทรัลอาจถอนทุนออกจากแพลตฟอร์มดังกล่าว เนื่องจากผลประกอบการที่ไม่สู้ดีนัก
จากตัวเลขของบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ที่ได้รายงานต่อ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่ายังไม่ทำกำไรตั้งแต่เปิดดำเนินการ ดังนี้
ปี 2560 มีรายได้รวมประมาณ 5.2 แสนบาท ขาดทุน 4 ล้านบาท
ปี 2561 มีรายได้รวม 458 ล้านบาท ขาดทุน 944 ล้านบาท
ปี 2562 มีรายได้รวม 1,285 ล้านบาท ขาดทุน 1,343 ล้านบาท
ปี 2563 มีรายได้รวม 3,492 ล้านบาท ขาดทุน 1,376 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้รวม 7,443 ล้านบาท ขาดทุน 1,930 ล้านบาท
ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่าช้อปปี้แม้จะมีรายได้เติบโตขึ้นแต่ยังไม่ทำกำไรคือ
ปี 2562 ขาดทุน 4,745 ล้านบาท
ปี 2563 ขาดทุน 4,170 ล้านบาท
ปี 2564 ขาดทุน 4,972 ล้านาท
ยกเว้นลาซาด้าที่เริ่มมองเห็นกำไรในปี 2564 เป็นปีแรกคือ
ปี 2562 ขาดทุน 3,707
ปี 2563 ขาดทุน 388
ปี 2564 กำไร 226 ล้านบาท
เมื่อมองไปยังอนาคตธุรกิจค้าปลีก แม้ในช่วงที่ผ่านมาช้อปปิ้งออนไลน์จะมีอัตราการเติบโตสูงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 แต่เมื่อสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย คนเริ่มหันกลับมาเที่ยวนอกบ้าน ซื้อสินค้าแบบออฟไลน์ ซึ่งธุรกิจหลักของเซ็นทรัลคือห้างสรรพสินค้า จึงอาจใช้ช่วงเวลานี้กลับมารุกธุรกิจหลักคือห้างสรรพสินค้า และใช้เซ็นทรัลออนไลน์เป็นจุดเสริม ขณะที่พันธมิตรอย่างเจดีดอทคอมแม้จะไม่มีธุรกิจอีคอมเมิร์ซมาร์เก็ตเพลสในไทย แต่ก็ยังเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในจีน
