โดย : ภาคภูมิ วรรณแสง บรรณาธิการ Auto-Business Today
BANGKOK INTERNATIONAL MOTOR SHOW 2023 ครั้งที่ 44 เริ่มตั้งแต่ 22 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2566 จัดขึ้นที่ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี ในปีนี้มีดาวเด่นหลายคันมากซึ่งค่ายรถยนต์เองได้ทยอยเปิดตัวก่อนเริ่มงานอย่างต่อเนื่อง บางส่วนจัดให้สื่อมวลชนได้ร่วมสัมผัสก่อนงานและรอเวลาเปิดราคากันในงานก็หลากหลายรุ่น ถือว่าเป็นปีที่คึกคักมากเนื่องจากมีรถใหม่ๆ ทั้งจากแบรนด์เดิมและแบรนด์น้องใหม่ มาดูถึงรถเด่นในงานที่อาจจะทำให้แผนการเปลี่ยนรถใหม่ของคุณเร็วขึ้น และจะช่วยเปรียบเทียบความคุ้มค่าคุ้มราคา เพื่อจะได้ตัดสินใจง่ายขึ้นว่าควรจะเลือกคันไหนดีเพื่อให้ตรงกับลักษณะการใช้งานและความต้องการมากที่สุด
New HONDA CR-V มาพร้อมกับเทคโนโลยี e:HEV และเครื่องยนต์ 1.5 Turbo
จะเลือกประหยัดกับระบบไฮบริดหรือจะเลือกขับสนุกจากเครื่องเทอร์โบ
ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ นับเป็นเจเนอเรชันที่ 6 แล้วที่ทำตลาดในประเทศไทย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่ขายดีมาตลอดนับตั้งแต่เริ่มทำตลาดในบ้านเรา การเปิดตัวครั้งนี้มาพร้อมกับราคาที่เซอร์ไพรส์เปิดราคามาได้ดีเหมือนการเปิดตัวรุ่นน้องอย่าง HR-V ในเจเนอเรชั่นที่ 6 มาพร้อมสองรูปแบบในการขับเคลื่อน คือขุมพลังการขับเคลื่อนระบบฟูลไฮบริดในชื่อเทคโนโลยี e:HEV มีให้เลือกทั้งใน ซีอาร์-วี ใหม่ ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวในรุ่น 4WD ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน VTEC TURBO ขนาด 1.5 ลิตรมาพร้อมกับเทอร์โบชาร์จมีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2WD และ 4WD




เครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) เครื่องยนต์มีกำลัง 148 แรงม้า แรงบิด 183 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวคือมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) มีกำลัง 183 แรงม้า แรงบิด 335 นิวตัน-เมตร ทางฮอนด้าแจ้งตัวเลขแรงม้ารวมอยู่ที่ 207 แรงม้า ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 335 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่ 0 – 2,000 รอบต่อนาที ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนประสิทธิภาพสูงให้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 20.8 กม./ลิตร (รุ่น e:HEV ES) มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 113 กรัม/กิโลเมตร ระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานได้ 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode)


ขับสนุก เร้าใจกับขุมพลังเทอร์โบ 190 แรงม้า
ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร Direct Injection DOHC VTEC TURBO 4 สูบ 16 วาล์ว ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Direct Injection คือการฉีดน้ำมันตรงเข้าห้องเผาไหม้ อัดอากาศด้วย Turbocharger ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700 – 5,000 รอบต่อนาที ใช้เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) และมีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุด 14.3 กม./ลิตร* (รุ่น E) และรองรับน้ำมัน E85


มีขุมพลัง 2 รูปแบบ กับ 5 รุ่นย่อย ระบบฟูลไฮบริด e:HEV มาพร้อม 2 รุ่นย่อย ได้แก่
- e:HEV RS 4WD 5 ที่นั่ง ราคา 1,729,000 บาท
- e:HEV ES 5 ที่นั่ง ราคา 1,589,000 บาท

เครื่องยนต์เทอร์โบ มาพร้อม 3 รุ่นย่อย ได้แก่
- รุ่น EL 4WD 7 ที่นั่ง ราคา 1,649,000 บาท
- รุ่น ES 4WD 5 ที่นั่ง ราคา 1,599,000 บาท
- รุ่น E 5 ที่นั่ง ราคา 1,419,000 บาท

จะเลือกเครื่องเทอร์โบ 190 แรงม้า หรือ e:HEV ที่ประหยัดกว่าดี? แล้วจะเลือกรุ่นไหนดี?
ถ้าเทียบกันระหว่างเครื่องยนต์เทอร์โบ กับ e:HEV บอกเลยว่าต้นทุนของตัวไฮบริดนั้นสูงกว่าเยอะมาก แต่เปิดราคามาแบบถูกมากเมื่อเทียบกับต้นทุนของเครื่องแบบเทอร์โบ จุดประสงค์ที่นำเทอร์โบมาใส่ในเครื่องเล็กก็เพราะต้องการเพิ่มสมรรถนะให้เทียบเคียงกับเครื่องยนต์เบนซินพิกัด 2.4-2.5 ลิตร แรงม้า 190 แรงม้าจากเครื่อง 1.5 เทอร์โบเค้าเน้นการเพิ่มสมรรถนะตั้งแต่จุดหยุดนิ่งถึงรอบปานกลาง จะใช้เทอร์โบขนาดเล็กเพราะจุดประสงค์คือต้องการเพิ่มสมรรถนะ ช่วงออกตัวถึงรอบความเร็วปานกลางจะค่อนข้างกระฉับกระเฉง แต่พอดูอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 14.3 กม./ลิตร* (รุ่น E) เป็นตัวเลขตาม Eco Sticker วิ่งจริงน่าจะอยู่ในราว 12 กม./ลิตร บวกลบตามลักษณะการขับขี่


ถ้าคุณต้องการรถที่มีความประหยัดน้ำมัน 20.8 กม./ลิตร (รุ่น e:HEV ES) วิ่งจริงได้ราว 17-18 กม.ต่อลิตรก็น่าจะทำได้ไม่ยาก เพราะหลายๆ รุ่นที่ใช้เทคโนโลยี e:HEV มีอัตราสิ้นเปลืองที่โดดเด่นมาก สิ่งสำคัญคือราคาตัวรถที่เร้าใจมาก สรุปสั้นๆ ให้ได้ใจความเลยถ้าต้องการรถที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงต้องหันไปคบกับรุ่น e:HEV ซึ่งรุ่น ES ขับเคลื่อนสองล้อคุ้มค่าคุ้มราคามาก ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อที่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 140,000 บาท เอาจริงๆ ก็ไม่จำเป็นเพราะระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของค่ายนี้ระบบจะเป็นคนเลือกให้เมื่อล้อคู่หน้าสลิปจะถูกปรับเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อ เมื่อกลับมามีการยึดเกาะที่ดีระบบก็จะปลดกลับมาเป็นขับเคลื่อนสองล้อเหมือนเดิม ถ้าเป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดหรือมีสวิชต์เลือกระบบขับเคลื่อน 2WD/4WD แบบนี้ค่อยน่าขับมาเป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ


ถ้าต้องการความสนุกสนานในการขับขี่จากเครื่องเทอร์โบ ซึ่งมันก็น่าจะได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นเพราะเทอร์โบลูกค่อนข้างเล็ก และจุดประสงค์หลักๆ คือต้องการเพิ่มสมรรถนะเครื่อง 1.5 ลิตร ให้ใกล้เคียงกับเครื่อง 2.5 ลิตรเพราะนี่คือรถใช้งาน ในเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองน่าจะอยู่ในราว 11-12 กม./ลิตร สำหรับการใช้งานปกติ ถ้าเอามันอย่าหวังว่าจะได้ตัวเลขสองหลัก รุ่นที่คุ้มค่าสุดคือ e:HEV ES ถ้ามองรุ่น 1.5E เพราะคิดว่าถูกสุด ควรสำรวจตัวเองว่าแต่ละปีใช้รถกี่กิโลเมตร ถ้าปีๆ นึงวิ่งใช้งานราว 20,000 – 30,000 กม. จะเพิ่มส่วนต่างอีก 170,000 เพื่อขยับไปรุ่น e:HEV ES ก็น่าสนใจไม่น้อยเพราะส่วนต่างนี้เติมน้ำมันสองปีกว่าๆ ก็ใกล้เคียงกันขยับรุ่นคุ้มกว่าเยอะ
NEW MG ES 959,000 บาท แพงกว่าเดิมอย่างที่เค้าว่ากันจริงไม๊?
พร้อม Home Charge, สาย V2L และประกันชั้นหนึ่ง รวม 90,453 บาท
รองรับ AC Charge 11 kW สูงสุดในรถกลุ่มเดียวกัน

แพงกว่า MG EP ราว 180,000 บาท ทำไมแค่ไมเนอร์เชนจ์ถึงได้ขึ้นราคาขนาดนี้? เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยมากว่าแค่เปลี่ยนชื่อเป็น MG ES แค่นี้ทำไม่ราคามันถึงได้เพิ่มขึ้นมากมาย ถ้าลองย้อนกลับไปดูตัวรถ MG EP คำตอบมันก็อยู่ในตัวรถนั่นแหล่ะ ตัวรถเน้นการใช้งานและราคาที่เป็นมิตรเป็นรถไฟฟ้าในราคาไม่ข้ามล้าน ออฟชั่นต่างๆ มันก็เลยน้อยไปมากมีเพียงพอสำหรับพื้นฐานทั่วไปทั้งเรื่องของระบบอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย การที่เปลี่ยนมาเป็น MG ES ต้องการสื่อให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่แน่นอนว่ามันมาพร้อมต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาก มันไม่ใช่แค่แต่งหน้าทาปากใหม่เพิ่มออฟชั่นแค่นั้น
แพลตฟอร์มระบบส่งกำลัง SAIC E1 THREE – ELECTRIC SYSTEM มาพร้อมขุมพลังที่ให้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่แบบ 8-LAYER HAIR PIN PERMANENT MAGNETIC SYNCHRONOUS MOTOR (PMSM) ที่ให้พละกำลังสูงสุดที่ 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอรอนฟอสเฟต (LFP) ความจุ 51 kWh สามารถวิ่งในระยะทาง 412 กิโลเมตร* ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC พร้อมระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แบตเตอรี่มาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น


NEW MG ES มาพร้อมกับแบตเตอรี่เทคโนโลยีใหม่ปรับปรุงระบบระบายความร้อนให้ใช้งานต่อเนื่องได้ดียิ่งขึ้น และมีน้ำหนักเบาลง 22% รองรับระบบการชาร์จ 2 รูปแบบ ชาร์จแบบธรรมดา Normal Charge ผ่าน MG HOME CHARGER 0% – 100% ใช้เวลาราว 7 ชั่วโมง 15 นาที ที่กำลังไฟ 6.6 kW จุดเด่นของ NEW MG ES คือรองรับการชาร์จสูงสุดถึง 11 kW ระดับเดียวกับรถไฟฟ้าระดับพรีเมี่ยม ซึ่งรถไฟฟ้าส่วนใหญ่รองรับแค่ 6-6.6 kW ชาร์จแบบเร็ว Quick Charge หรือ DC Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 0% – 80% ใช้เวลาประมาณ 40 นาที รองรับกำลังไฟสูงสุด 87 kW ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรถในระดับเดียวกัน และที่เหนือกว่าในการใช้งานคือ MG มีสถานี MG SUPER CHARGE ของตัวเองพร้อมให้บริการสำหรับลูกค้า MG 129 แห่งทั่วประเทศ ตัวรถยังรองรับการจ่ายไฟแบบ V2L (Vehicle to Load) ด้วยกำลังไฟสูงสุด 2,200 วัตต์

ห้องโดยสารให้กลิ่นอายความเป็นรถยุโรปเรียบหรู กว้างขวาง พร้อมดีไซน์ ENERGETIC BLUE STRIP และเทคโนโลยี Zero-G Seats เพื่อรองรับสรีระของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ DENIM TEXTURE DESIGN กับผิวสัมผัสที่สบายและดูแลรักษาง่าย เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง ปรับ 4 ทิศทาง ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางโทรศัพท์ หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) หน้าอินโฟเทนเมนท์ระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว รองรับการใช้งาน Apple CarPlay และ Android ระบบปรับอากาศแบบดิจิตัล พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5 คอนโซลเกียร์แบบ DOUBLE LAYER พร้อมดีไซน์ที่เรียบหรูด้วยปุ่มปรับตำแหน่งเกียร์สไตล์ยุโรป

สิ่งที่เพิ่มเติมมาแบบครบเครื่องคือเรื่องของความปลอดภัย นับตั้งแต่ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) ระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM และความปลอดภัยแบบ ADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) รวม 20 ระบบ ที่น่าสนใจคือ ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) และ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)


ทำงานร่วมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist) ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)

ถ้าเทียบออฟชั่นของ NEW MG ES ราคา 1,200,000 บาท กับ MG ZS EV รุ่น X ราคา 1,269,000 บาท ต่างกันอยู่ 69,000 บาท ที่เห็นหลักๆ คือความต่างเรื่องของหลังคาพาโนรามิค ก็ถือว่าการวางระดับราคาอยู่ในราคาที่ควรจะเป็น ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมราคาถึงต่างจาก MG EP ที่แทบไม่มีออฟชั่นหรือลูกเล่นอะไรเลย
FORD Everest Wildtrak โดนใจสายลุยรักความท้าทายและการผจญภัย ในราคาเริ่มต้น 1,899,000 บาท
รุกตลาดอย่างต่อเนื่องสำหรับค่ายฟอร์ด ล่าสุดเปิดตัว ฟอร์ด เอเวอเรสต์ รุ่นไวลด์แทรค เป็นรุ่นย่อยใหม่ล่าสุดของรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ สำหรับผู้ที่ชอบความท้าทายและการผจญภัย ต่อยอดสมรรถนะและเทคโนโลยีที่เหนือชั้นด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์แบบไวลด์แทรค เน้นความเท่ แข็งแกร่ง และมีสไตล์ ภายในห้องโดยสารหรูหราสะดวกสบาย มอบประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางผจญภัยให้กับคุณและครอบครัว

ฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นไวลด์แทรค มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E- Shifter มอบพละกำลังสูงสุด 210 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ 4×4 ที่มีตัวเลือกโหมดการขับขี่มากถึง 6 โหมด ได้แก่ Normal, Eco, Tow/Haul, Slippery, Mud/Ruts และ Sand เพื่อสมรรถนะสูงสุดสำหรับการเดินทางบนทุกสภาพพื้นผิว


มาด้วยภาพลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบเดียวกับฟอร์ด เรนเจอร์ ไวลด์แทรค เริ่มจากด้านหน้าโดดเด่นด้วยกระจังหน้าดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แทรค พร้อมตัวอักษร WILDTRAK สีดำบนฝากระโปรงหน้า ออกแบบเพื่อสะท้อนสไตล์ของนักผจญภัยโดยเฉพาะ ภายในห้องโดยสารตกแต่งสีดำให้มีความดุดันเป็นเอกลักษณ์สไตล์ไวลด์แทรค


เบาะหนังและหนังสังเคราะห์สีดำพร้อมเดินด้ายสีส้ม และโลโก้ซิกเนเจอร์ ‘Wildtrak’ ที่เบาะคู่หน้า เครื่องยนต์ยังคงเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E-Shifter

FORD Ranger Stormtrak เอาใจเดินทางและรักการผจญภัย ราคาเริ่มต้นที่ 1,264,000 – 1,399,000 บาท
เอาใจสายท่องเที่ยวและแอดแวนเจอร์ด้วยการเพิ่มออปชั่นที่รองรับการใช้งานที่หลากหลาย ฟอร์ด เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ รุ่นสตอร์มแทรค รถกระบะรุ่นย่อยใหม่ล่าสุดที่ตอกย้ำบทบาทของฟอร์ดในการสร้างตำนานบทใหม่ให้กับตลาดรถกระบะไทยอีกครั้ง ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ยังไม่เคยมีมาก่อน ยกระดับการเป็นรถกระบะที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนที่ชอบความท้าทายไปอีกขั้น

ด้วยราวหลังคาและสปอร์ตบาร์แบบปรับได้ (Flexible Rack System) ให้ผู้ขับขี่ปรับรูปแบบสปอร์ตบาร์ด้วยเลื่อนจุดล็อคได้ 5 ตำแหน่งด้วยมือเดียวรองรับการติดตั้งหรือขนย้ายอุปกรณ์เพื่อการผจญภัยและการทำงานได้หลากหลายรูปแบบอย่างง่ายดาย รองรับน้ำหนักสูงสุด 80 กก. (ขณะขับ) และ 250 กก. (ขณะจอด) จะสายแคมป์ สายเอ็กซ์ตรีมเป็นออฟชั่นที่เหมาะมาก



การออกแบบภายนอกเพิ่มความดุดัน มีสไตล์ ตั้งแต่กระจังหน้าดีไซน์เฉพาะรุ่นสตอร์มแทรค ไปจนถึงสติ๊กเกอร์ตกแต่งใหม่รอบคันที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกตัวตนของคนที่มีใจรักในความสมบุกสมบัน ไฟหน้าแบบเมทริกซ์ แอลอีดี พร้อมระบบปรับมุมลำแสงไฟอัตโนมัติ ระบบป้องกันไฟแยงตา และระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ นับเป็นครั้งแรกที่ฟอร์ด เรนเจอร์ ติดไฟ AUX Lamp (ทำงานเมื่อเปิดไฟสูง) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้ดีขึ้นในทุกสภาพอากาศ และเพิ่มความปลอดภัยในการขับเวลากลางคืน ล้ออัลลอย 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 255/55 R20



เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 210 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมตัวเลือกระบบขับเคลื่อนแบบ 4×4 และ 4×2 ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E-Shifter พร้อมเทคโนโลยีระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Fully Automated Park Assist) เป็นครั้งแรกในตลาดรถกระบะ (นอกจากฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ รถกระบะในตระกูลฟอร์ดเพอร์ฟอร์มานซ์) ถ้าเทียบกับ FORD Ranger Wildtrak ราคาต่างกันราว 100,000 บาท แต่เมื่อดูรายการออปชั่นต่างๆ แล้วบอกได้เลยว่าซื้อแยกชิ้นมาเติมเองไม่ได้แน่นอน
FORD Ranger Raptor Diesel อีกทางเลือกของคนรักการเดินทาง ราคาเริ่มต้น 1,769,000 บาท
ตามนานของรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง ได้เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่ยังต้องการเครื่องยนต์ดีเซลที่คุ้นเคย แม้ว่าตัวเลขของสมรรถนะในตัวเครื่องยนต์เบนซินจะดูเย้ายวนมากก็ตามที แต่เครื่องดีเซลตอบโจทย์ในการใช้งานในการเดินทางมากกว่าโดยเฉพาะค่าน้ำมัน

ซึ่งยังคงอัดแน่นด้วยดีเอ็นเอฟอร์ด เพอร์ฟอร์มานซ์ จากขุมกำลังเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 210 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด แบบ E-Shifter พร้อมระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ออปชั่นระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง
แต่จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์คือระบบขับเคลื่อนและช่วงล่างอันเลื่องชื่อ เริ่มดิสก์เบรกขนาดใหญ่พิเศษ พร้อมครีบระบายความร้อน ล้ออัลลอย 17” พร้อมยางออลเทอเรน BF Goodrich ® K02 ขนาด T285/70 R17 ระบบเฟืองท้ายหลัง แบบ Locking Differential ช็อคอัพ FOXTM แบบ Internal Bypass 2.5 นิ้ว ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ประกอบด้วย โหมดปกติ โหมดสปอร์ตและโหมดถนนลื่นสำหรับทางเรียบ และโหมดการขับขี่ออฟโรดอย่างโหมดหิน โหมดทราย โหมดโคลน และโหมดบาฮา
BYD DOLPHIN EV เปิดตัวพวงมาลัยขวาและรับจองครั้งแรกในโลก
ด้วยราคา 799,999 บาท พร้อมข้อเสนอสุดคุ้มกว่า 150,000 บาท
ยังคงร้อนแรงไม่หยุดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าจากค่าย BYD ซึ่งก่อนงานมอเตอร์โชว์ไม่นานได้พอสื่อมวลชนไปทดลองขับถึง 6 รุ่น และรุ่นที่เป็นความหวังต่อจาก ATTO 3 บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด (Rêver Automotive) ผู้จัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายสำหรับกลุ่มรถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ (Thailand Authorized Distributor)

ได้ตอบรับกระแสความนิยมอีกครั้งด้วยการเปิดตัว BYD DOLPHIN EV พวงมาลัยขวา รุ่นเล็กกะทัดรัดที่ทุกคนรอคอย พร้อมเปิดให้จองรุ่น Standard Range มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Coastal Cream และ Flora Purple ด้วยราคาคาดการณ์จำหน่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ 799,999 บาท พร้อมส่งมอบรถตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้


BYD DOLPHIN เปิดรับจองด้วยสิทธิพิเศษ Rêver Care สุดคุ้ม เพื่อดูแลและเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า มูลค่ารวมกว่า 150,000 บาท ประกอบด้วย ออกรถง่ายๆด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 39,999 บาท* ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ. ระยะเวลา 1 ปี* มั่นใจไปกับการรับประกันคุณภาพตัวรถและแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร* อุ่นใจด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี* บริการบำรุงรักษา ค่าแรง ค่าอะไหล่ นาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์จำเป็น อย่าง Home Charger พร้อมฟรีค่าติดตั้ง* สายต่อพ่วงอุปกรณ์ไฟฟ้า Vtol สายชาร์จเคลื่อนที่ Portable Charger ค่าจดทะเบียน พรมเข้ารูป กรอบป้ายทะเบียน ฟิล์มหน้าจอ

จุดเด่นของ BYD DOLPHIN คือเป็นรถที่มีฐานล้อยาวถึง 2,700 มม. ทำให้มีพื้นที่วางขาของผู้โดยสารมากกว่ารถที่มีความยาวรวมใกล้เคียงกัน ใช้แบตเตอรี่ BYD Blade Battery ความจุ 44.9 kWh มีระยะทางการวิ่ง 410 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนกำลังสูงสุด 94 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม.ได้ในเวลา 12.3 วินาที ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังทอร์ชั่นบีม ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกสี่ล้อ ถือว่าเป็นรถที่ขับสนุกอีกคันหนึ่ง ส่วนระบบความปลอดภัยมีให้ครบครัน น่าจะทำยอดจองได้ถล่มทลายไม่ต่างจากรุ่นพี่
Mercedes-EQB 250 AMG Line SUV 7 ที่นั่งในราคาสุดคุ้ม 3,020,000 บาท
ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ EQ รุ่นล่าสุด ที่ผลิตและนำเข้า (CBU) มาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย มาพร้อมรูปแบบตัวถังแบบรถเอสยูวีที่ใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับ GLB โดย EQB ซึ่งราคาที่ต่างจาก GLB ไม่มากนักยิ่งทำให้ตัวรถมีความน่าใช้มากยิ่งขึ้น ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motor) ที่ให้พลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในระยะเวลา 8.9 วินาที

ใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion แบบแรงดันสูง (High-Voltage) มีความจุแบตเตอรี่ 66.5 kWh สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP สำหรับการชาร์จไฟฟ้า EQB รองรับการชาร์จกระแสตรง DC สูงสุด 100 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 10-80% เพียง 32 นาที และรองรับการชาร์จกระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ในระยะเวลา 6 ชั่วโมง 50 นาที โดยมาพร้อม Mercedes-Benz Wallbox Home รุ่น 2.0 ที่มาพร้อมระบบป้องกันฝุ่นกันน้ำ ตามมาตรฐาน IP55/IK10 นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการชาร์จไฟฟ้าและอัปเดตซอฟต์แวร์ได้แบบ OTA (over-the-air) ผ่านแอปพลิเคชัน Mercedes me


นอกจากความโดดเด่นของการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ แบบไร้มลพิษ (Zero-emission) แล้ว EQB ยังมาพร้อมการดีไซน์ที่แฝงไปด้วยความหรูหราภายใต้แนวคิด “Progressive Luxury” ตามแบบฉบับของแบรนด์ Mercedes-EQ รวมถึงความสะดวกสบาย จากมิติตัวถังขนาดใหญ่ด้วยความยาว 4,687 มม. ความกว้าง 2,020 มม. ความสูง 1,667 มม. ระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,829 มม.

โดยในด้านของการออกแบบภายนอก EQB มีการตกแต่งรอบคันแบบ AMG bodystyling มาพร้อมกระจังหน้าแบบ Radiator grille พร้อมแถบคาดกระจังหน้าโครเมี่ยมแบบ Twin blade ที่ดีไซน์รับกับโลโก้ดาวสามแฉกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อย่างลงตัว ต่อเนื่องด้วยโคมไฟหน้าความละเอียดสูงแบบ LED High Performance ตกแต่งเส้นสายไฮไลท์สีฟ้าแสดงถึงการเป็นรถในตระกูล


Mercedes-EQ และมีการติดตั้งระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist) พร้อมติดตั้งราวหลังคาอลูมิเนียมในสไตล์ของรถเอนกประสงค์ และล้ออัลลอยด์ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Multi-spoke ขนาด 20 นิ้ว
ในด้านการออกแบบภายใน EQB 250 AMG Line มาพร้อมนวัตกรรมและความสะดวกสบายอย่างไร้ที่ติ สะท้อนความหรูหราและความสปอร์ตทั่วทั้งห้องโดยสารด้วยการดีไซน์แบบ AMG ตั้งแต่คอนโซลหน้าที่ตกแต่งแบบ Aluminium-look ไปจนถึงเบาะหนังสไตล์ AMG ที่หุ้มด้วยหนัง ARTICO ตัดสลับกับ MICROCUT microfibre สีดำ พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง Nappa และแป้นควบคุมการคืนพลังงานไฟฟ้า (Regenerate) แบบ Paddle shift ที่ทำจากวัสดุ Galvanished steel


ในด้านของฟังก์ชั่นการใช้งานและความบันเทิง EQB มีระบบการแสดงผลและระบบควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบ All-digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลางขนาด 10.25 นิ้ว โดยมีการติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างระบบ MBUX6 ที่สามารถควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานภายในรถได้อย่างง่ายดาย



ถ้ามองหารถไฟฟ้าในรูปแบบรถ SUV ระดับพรีเมี่ยม สุดคุ้มในราคา 3 ล้านเศษ Mercedes-EQB 250 AMG Lineตอบโจทย์ในทุกด้านๆ ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและการเดินทาง
HYUNDAI Stargazer ราคาเริ่มต้น 769,000 – 909,000 บาท คุณภาพวัสดุและการประกอบที่น่าจับตามอง
ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) เตรียมรุกตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งการเข้ามาในครั้งนี้เตรียมเปิดตัวรถอีกหลากหลายรุ่น ในงานนี้เปิดตัว ฮุนได สตาร์เกเซอร์ เปิดตัวด้วยราคาที่เร้าใจ ซึ่งฮุนไดมีความสามารถในการผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพ ตัวรถถูกออกแบบมาภายใต้คอนเซ็ปต์เน้นความสบายในทุกที่นั่ง

รูปลักษณ์ภายนอกหรูหรามาพร้อมกับตัวถังที่แข็งแรงและปลอดภัย ด้วยมาตรฐานของเหล็กคุณภาพระดับโลก โดยรถรุ่นนี้ถูกประกอบในประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้การควบคุมมาตรฐาน โดยฮุนได มอเตอร์ เกาหลี ภายในเน้นการออกแบบที่คำนึงถึงความสบายและความปลอดภัยของทุกที่นั่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด

ดีไซน์ภายนอกได้รับอิทธิพลจากพี่ใหญ่มีความโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยกระจกขนาดใหญ่ ที่ให้ความรู้สึกโปร่ง สบาย ไม่อึดอัด อีกทั้งจัดเต็มไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ทำให้ภายในห้องโดยสารจัดวางอุปกรณ์อำนวยความสะดวกได้ครบครัน เช่น โต๊ะพับหลังพนักพิงด้านหน้า ถาดเก็บของแบบซ่อนที่คอนโซลหน้า การปรับระดับเบาะโดยสารได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยการจัดวางเบาะที่นั่งแบบ 3 แถว ซึ่งทุกแถวสามารถนั่งได้สบายไม่ว่าระยะทางใกล้หรือใกล้ และความพิเศษสุด มาในรุ่นท็อป (สมาร์ท 6) เป็นเบาะที่นั่ง 3 แถว 6 ที่นั่ง โดยเบาะแถวที่ 2 มาแบบ Captain Seat เจ้าแรกของมินิเอ็มพีวีในประเทศไทย


ทางด้านสมรรถนะและความปลอดภัย ฮุนไดสตาร์เกเซอร์ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร พร้อมระบบเกียร์ IVT ให้กำลังสูงสุด 115 แรงม้า (PS) ที่ 6,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 144 นิวตัน-เมตร การออกแบบตัวถังที่ลู่ลมและปราดเปรียว ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ขับขี่สนุกได้ดั่งใจทั้ง eco mode และ sport mode พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง


โดย ฮุนได สตาร์เกเซอร์ จำหน่ายในราคา ดังนี้
Trend ราคา 769,000 บาท
Style ราคา 829,000 บาท
Smart 7 ราคา 869,000 บาท
Smart 6 ราคา 889,000 บาท
Smart 6 Black Roof ราคา 909,000 บาท

ฮุนได สตาร์เกเซอร์ มาพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ ดอกเบี้ยพิเศษ 1.89% เมื่อดาวน์ 25% หรือ 30% และผ่อนชำระ 48 เดือน, ผ่อนชำระเงินดาวน์นาน 6 เดือน โดยไม่มีดอกเบี้ย, ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี, รับประกันคุณภาพนาน 5 ปี หรือ 150,000 กม., บริการช่วยเหลือฉุกเฉินนาน 5 ปี, ฟรีค่าแรงเช็คระยะ 2 ปี หรือ 40,000 กม.