HomeBusinessเปิดเศรษฐกิจไทย หลังจบเลือกตั้ง66 ทิศทางยังฟื้น แต่ถูกกระทบงบ 67 ล่าช้า

เปิดเศรษฐกิจไทย หลังจบเลือกตั้ง66 ทิศทางยังฟื้น แต่ถูกกระทบงบ 67 ล่าช้า

Krungthai COMPASS” ประเมินเศรษฐกิจไทยหลังจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ได้คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดว่าจะขยายตัว ในช่วง 2.7%-3.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ตามจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของฐานรายได้โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยวและภาคเกษตร การฟื้นตัวของตลาดแรงงาน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้การขยายตัวของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการเงินโลก ภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงท่ามกลางต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร และความไม่แน่นอนทางการเมือง

ทั้งนี้ ประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตได้ใกล้เคียงประมาณการเดิมที่ 3.4% สอดคล้องกับการประเมินของสภาพัฒน์ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ในช่วง 2.7 – 3.7% (ค่ากลาง 3.2%) โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดี และส่งผลดีต่อเนื่องไปยังการบริโภคภาคเอกชน โดยในไตรมาสแรกการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวสูงถึง 2.0% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยาตัว 0.1% จากการใช้จ่ายในหมวดบริการตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแรงส่งสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้การบริโภคภาคภาคเอกชนขยายตัวได้ต่อเนื่องและเป็นความเสี่ยงขาสูงที่อาจทำให้การบริโภคภาคเอกชนทั้งปีมีแนวโน้มขยายตัวมากกว่าที่เราเคยคาดไว้ที่ 3.5% อีกทั้ง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวสัญชาติจีนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

- Advertisement -

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่เปราะบางได้ส่งผลกระทบมายังการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวต่อเนื่อง อีกทั้งเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนท่ามกลางแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องอาจเป็นปัจจัยกดดันต่อการสงทุนในปีนี้ ทำให้การลงทุนภาคเอกชนมีความเสี่ยงที่อาจต่ำกว่าประมาณการเดิมที่เรามองไว้ที่ 3.2% ดังนั้น แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่อาจเติบโตต่อเนื่องและมากกว่าคาด แต่อาจถูกกดดันจากแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนที่อาจชะลอตัวมากกว่าคาดได้ ทำให้เศรษฐกิจปีนี้มีแนวโน้มเติบโตได้ใกล้เคียงกับที่เราเคยประเมินไว้ที่ 3.4%

SCB EIC” เปิดเผยเศรษฐกิจไทยในปี 66 ยังต้องจับตาผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยประเมินการเลือกตั้งและการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจะส่งผลกระทบไม่มากต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี เนื่องจาก พ.ร.บ. งบประมาณประจำปีงบประมาณ 66 ได้ครอบคลุมการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐจนถึงสิ้นไตรมาส 3 ของปี 66 แล้ว หน่วยงานภาครัฐจึงสามารถดำเนินการตามนโยบายและโครงการต่าง ๆ ที่กำหนดไว้แล้วได้เป็นปกติ และยังมีการเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณและนำเรื่องเข้ากระบวนการพิจารณาก่อนการยุบสภา

ทั้งนี้แม้ 3 ไตรมาสปี 66 จะไม่มีปัญหาแต่คาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบด้านลบชัดเจนขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 66 จากความไม่แน่นอนของระยะเวลาในการพิจารณาอนุมัติ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปีงบประมาณ 67 ส่งผลให้มีเงินสนับสนุนเศรษฐกิจจากภาครัฐเพิ่มเติมได้ไม่มากนัก อีกทั้งคาดว่านโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่จะมีผลกระทบสู่เศรษฐกิจตั้งแต่ปี 67

ด้านเศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง มาจากภาคการท่องเที่ยว คาดปี 66จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยมากถึง 30 ล้านคน จากการที่นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางเข้ามาในไทยได้มากถึง 4.8 ล้านคนจากการประกาศเปิดประเทศเต็มรูปแบบของจีน และจำนวนผู้เยี่ยมเยือนไทยในเดือนเม.ย.ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยกดดันจากนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้นด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจโรงแรม สายการบิน บริษัททัวร์ รถเช่า สถานที่และกิจกรรมท่องเที่ยว ร้านค้า ร้านอาหาร สปาและเวลเนส รวมถึงบริการทางการแพทย์ ด้านการส่งออกสินค้าที่หดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกคาดว่าจะมีแนวโน้มหดตัวในอัตราชะลอลงและขยายตัวได้ในครึ่งหลังของปี 66 ด้านการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องสะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่สูงขึ้น

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ระบุถึงนโยบายหาเสียงพรรคการเมืองที่ผ่านมาเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลบวกต่อจีดีพีในระยะสั้น แต่มีโจทย์ภาระการคลังที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเน้นให้ความช่วยเหลือด้านรายได้ให้กลุ่มเปราะบาง การปรับขึ้นค่าแรง การบรรเทาภาระการครองชีพจากราคาพลังงานที่สูง ซึ่งต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก และหากสามารถดำเนินการได้ก็จะส่งผลบวกต่อจีดีพีในระยะสั้น แต่แหล่งเงินที่จะใช้ดำเนินมาจากการจัดสรรงบประมาณใหม่คงทำได้ระดับหนึ่งแต่ไม่น่าจะเพียงพอ หรือใช้รายได้รัฐบาลจากการเก็บภาษีที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นก็อาจจะต้องรอระยะเวลาให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่ม ซึ่งคงไม่ทันช่วงเวลาที่จะต้องมีรายจ่าย ดังนั้น รัฐบาลใหม่คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น

Business Today
Business Todayhttps://businesstoday.co
Supporting Thailand's business communities./ FB Page: Business Today Thai/ Social: Business Today Thai (สำหรับ Twitter, YouTube, Telegram)/ LINE: @Business today/ เว็บที่เกี่ยวข้อง: Thailand Today: www.thailandtoday.co/ FB: Thailantoday.co (English)/ Thailand Today News: www.thailandtoday.news/ FB: Thailandtoday.news (Mandarin Chinese)

Latest

ติดตามข่าวสารอัพเดททันใจจาก Businesstoday ได้โดยกรอกอีเมลด้านล่าง

Related News