HomeBusinessAutoอะไรคือสาเหตุ 'อภิชาติ ลีนุตพงษ์' ตัดใจยุติบทบาทผู้จำหน่าย 'ดูคาติ' แบรนด์สุดรัก

อะไรคือสาเหตุ ‘อภิชาติ ลีนุตพงษ์’ ตัดใจยุติบทบาทผู้จำหน่าย ‘ดูคาติ’ แบรนด์สุดรัก

กว่า 18 ปี ที่เริ่มต้นกับแบรนด์ ดูคาติ นี้มาผมรักเหมือนลูกผม เพราะแบรนด์นี้เป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่น่าจดจำของผมเพราะอยู่ในช่วงเดียวกันที่ผมแต่งงาน ผมก็เริ่มทำแบรนด์นี้มาตั้งแต่นั้นจนถึงวันนี้อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด (ในเครือชาริช โฮลดิ้ง) หรือ ดูคาติไทยแลนด์

แต่ด้วยวันนี้ผมต้องการมีเวลาอยู่กับครอบครัวให้มากขึ้น ประกอบกับแบรนด์ในมือเราตอนนี้ในเครือ ชาริช โฮลดิ้ง ซึ่งกำลังจะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง และผมยืนยันเสมอว่าผมไม่ต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมต้องการแค่มีเวลาเท่านั้น จึงเป็นที่มาของการยื่นขอยุติบทบาทผู้แทนจำหน่ายดูคาติอย่างเป็นทางการในประเทศไทยกับทางบริษัทแม่ของดูคาติ

อ่าน : ยุติบทบาท !! ตัวแทนจำหน่ายดูคาติในประเทศไทย ตั้งแต่ มิ.ย. นี้

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 18 ปี บริษัทได้มีการลงทุนมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท โดยย้อนกลับไปในอดีตปีแรกที่เริ่มต้นขายในปี 2546 เรามียอดขายอยู่ที่ 12 คัน ซึ่งในวันนั้นยังไม่มีผู้ที่รู้จักแบรนด์นี้ในประเทศไทยอย่างแพร่หลายนัก และต่อมาในช่วงที่ขายดีที่สุดในประเทศไทยคือช่วงที่ เริ่มต้นมีการตั้งโรงงานประกอบดูคาติในประเทศไทย

- Advertisement -

อย่างไรก็ตาม ผมขอยืนยันว่าตลอดระเวลานับจากนี้ที่อยู่ภายใต้อการบริหารงานของ ดูคาทิสติ ไปจนกระทั่งถึงส่งมอบการเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการให้กับผู้แทนจำหน่ายรายใหม่หลังจากนี้ ผมจะดูแลลูกค้าดูคาติทุกคันอย่างดีที่สุดแบบไร้รอยต่อ

นอกจากนั้น ประเด็นความกังวลของลูกค้าและผู้ที่สนใจในแบรนด์ดูคาติ ในเรื่องการดั้มพ์ราคาจำหน่าย ผมขอยืนยันอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีการดั้มพ์ราคาขายเพื่อล้างสต๊อกหรืออะไหล่ใดๆ ทั้งสิ้นเนื่องจากเราได้มีการขอแจ้งยุติบาบาทกับทางบริษัทแม่และยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทแม่ทั้งในส่วนของโรงงานและด้านการขายทุกฝ่าย

ทั้งนี้ ในวันสุดท้ายที่บริษัทยุติบทบาทการเป็นผู้แทนจำหน่ายและส่งมอบสิทธิ์การจำหน่ายให้ผู้แทนรายใหม่เรียบร้อย ในส่วนของสต๊อกที่เหลือ ทั้งในส่วนของ รถจักรยานยนต์, อะไหล่ และอุปกรณ์ทุกอย่าง บริษัท ดูคาติ มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จะรับซื้อคืนในราคาทุน จึงจะไม่มีการลดราคาเพื่อเคลียร์สต๊อกแต่อย่างใด

ขณะที่ ในปี 2564 นี้ บริษัทตัดสินใจว่าจะไม่เข้าร่วมงานแสดงรถยนต์ใดๆ ซึ่งปกติการเปิดตัวโมเดลใหม่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน มี.. เพื่อเป็นการให้เกียรติกับผู้แทนจำหน่ายรายใหม่ในการเป็นผู้เปิดตัวโมเดลใหม่ของดูคาติในปี 2564 พร้อมกับการเริ่มต้นการจำหน่ายในฐานะผู้แทนจำหน่ายรายใหม่อย่างเป็นทางการ

ย้อนไทม์ไลน์ 18 ปี ของอภิชาติ ลีนุตพงษ์กับดูคาติ

  • ปี 2003 : เริ่มต้นการเป็นผู้แทนจำหน่ายดูคาติจากการเปิดโชว์รูมเล็กๆ ย่านมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ​ (ABAC) โดยมียอดขายอยู่ที่ 12 คัน
  • ปี 2005 : มีความคิดว่าอาจจะต้องปิดธุรกิจเนื่องจากมียอดขายเพียง 15 คัน
  • ปี 2006 : ย้ายโชว์รูมไปย่าน ทองหล่อ มียอดขาย 30 คัน
  • ปี 2007-2008 :  มียอดขายอยู่ที่ 40-45 คัน
  • ปี 2009 : ออกจากธุรกิจครอบครัว ในปีนั้นมียอดขายอยู่ที่ 80 คัน
  • ปี 2010 : ยอดขายเริ่มขยับขึ้นเป็น 200 คัน
  • ปี 2011 : บริษัท ดูคาติ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ตั้งโรงงานประกอบในประเทศ มียอดขายอยู่ที่ 300 คัน
  • ปี 2012 : ยอดขายโตแบบก้าวกระโดดเป็น 1,500 คัน จากราคาจำหน่ายที่เข้าถึงง่ายขึ้น
  • ปี 2013 : ยอดขายอยู่ที่ 2,000 คัน
  • ปี 2014 : ยอดขายอยู่ที่ 2,700 คัน
  • ปี 2015 : เป็นปีที่มียอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 3,000 คัน
  • ปี 2016-2019 : บริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ต่างตั้งโรงงานประกอบในประเทศ และจากนั้นเป็นต้นมายอดขายของ ดูคาติ ก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 600-800 คัน
  • ปี 2020 : เดือน ก.. ดูคาทิสติ ในเครือ ชาริช โฮลดิ้ง แจ้งขอยุติบทบาทการเป็นผู้แทนจำหน่าย ดูคาติ ในประเทศไทย
  • ปี 2021 : สิ้นสุดสัญญาการเป็นผู้แทนจำหน่าย ดูคาติ ในประเทศไทย ในเดือน มิ.. 

เหตุผลหลักในการขอยุติบทบาทแท้จริงแล้วคือความอิ่มตัวของตลาดและต้องถึงเวลาทิ้งแล้วใช่หรือไม่ ?

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ (บิ๊กไบค์) มีผู้เล่นในตลาดที่แย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 3 รายเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันนี้มีไม่ต่ำกว่า 7 ราย ถ้าถามว่าถึงเวลาทิ้งแล้วหรือยัง ตอบได้เลยครับว่า ยัง !! เพราะยังมีโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มระดับ 500-600 ซีซี ในประเทศไทย ดูคาติ ยังถือได้ว่าอยู่ในระดับ ท็อป ของตลาดอยู่ และเมื่อเทียบกับยอดขายของ ดูคาติทั่วโลก ตลาดในประเทศไทยยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูงเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆทั่วโลกของดูคาติ

ที่ผ่านมาลงทุนไปกว่า 1,000 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่าหรือไม่ ?

ถ้าตอบในเชิงธุรกิจ ตอบได้เลยครับว่าไม่คุ้มเพราะในมูลค่าการลงทุน 1,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนเกินสิ่งที่บริษัทแม่กำหนด โดยเพื่อสร้างให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่น อันที่จริงแล้วนั้น ในขนานธุรกิจประมานนี้ต้องการการลงทุนเพียงครึ่งหนึ่งของที่ผมลงทุนไปเท่านั้น ซึ่งในภูมิภาคนี้โชว์รูมที่ใหญ่ที่สุด และ ศูนย์บริการที่ดีที่สุด อยู่ในประเทศไทย

ถ้าตอบในเชิงความรู้สึก ตอบได้เลยครับว่าคุ้มมากเพราะผมเป็นเหมือนนักร้องที่ไม่มีเวที ในวันที่ผมเริ่มต้นทำธุรกิจ ดูคาติ ผมเริ่มต้นจากศูนย์ ครอบครัวผมไม่ได้ให้เงินในการทำธุรกิจใดๆ ซึ่งผลได้รับโอกาสจากแบรนด์ดูคาติ ที่ให้เวทีผมขึ้นร้องเพลง ดังนั้นถ้าย้อนกลับไปตอบเรื่องการลงทุนจึงเป็นที่มาที่ผมลงทุนด้วยความตั้งใจและความรักในแบรนด์นี้

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วอะไรที่ทำให้ตัดสินใจขอยุติบทบาท ?

ต้องยอมรับอีกส่วนหนึ่งคือ ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ทุกตัวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผมใช้เองทั้งหมด ซึ่งถึงวันนี้ผมมีครอบครัว ผมอายุเยอะขึ้น ผมไม่สามารถขี่จักรยานยนต์ได้เหมือนที่ผ่านๆ มาแล้ว ประกอบกับการทุ่มเทเวลาให้กับงานเมื่อเทียบกับความคุ้มค่าในแง่ของการได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว ทำให้ผมยอมที่จะมีเวลารับประทานอาหารกับครอบครัวมากกว่า

หลังจากนี้ ชาริช โฮลดิ้ง จะเป็นอย่างไร ?

ชาริช โฮลดิ้ง จากนี้จะมุ่งไปสู่สินค้านวัตกรรมและการแบ่งปันความสุขซึ่งเป็นที่มาของชื่อบริษัท ซึ่งไม่ได้ระบุว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีล้อหรือไม่ แต่ส่วนตัวจะเลือกด้วยเหตุผล 3 ด้านด้วยกันได้แก่ 1.เวลา 2.ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับเวลา และ 3.คุณค่าทางจิตใจ ซึ่งแน่นอนว่าทุกผลิตภัณฑ์จะต้องเป็นของที่ส่วนตัวผมเองได้ใช้และสามารถบอกต่อหรือแนะนำคนอื่นให้ใช้ได้

สำหรับปัจจุบัน แบรนด์ต่างๆ ภายใต้ ชาริช โฮลดิ้ง มีดังนี้ 1.ลัมโบร์กินี (Lamborghini) 2.โคนิเซกก์ (Koenigsegg) 3.ไอโรบอท (i-Robot)  หุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัตโนมัติ 4.NIU รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า

Business Today
Business Todayhttps://businesstoday.co
Supporting Thailand's business communities./ FB Page: Business Today Thai/ Social: Business Today Thai (สำหรับ Twitter, YouTube, Telegram)/ LINE: @Business today/ เว็บที่เกี่ยวข้อง: Thailand Today: www.thailandtoday.co/ FB: Thailantoday.co (English)/ Thailand Today News: www.thailandtoday.news/ FB: Thailandtoday.news (Mandarin Chinese)

Latest

ติดตามข่าวสารอัพเดททันใจจาก Businesstoday ได้โดยกรอกอีเมลด้านล่าง

Related News