พลังงานตรึงราคาดีเซล 31.94 บาท/ลิตรยาวถึงสิ้นปี
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะพยายามดูแลราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ที่ระดับ 31.94 บาทต่อลิตรไปจนถึงสิ้นปี 2566 แม้ว่ามาตรการลดภาษีสรรพสามิตจะสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคมนี้ และไม่มีการต่ออายุออกไป เพราะหากดูจากสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบน้อยลง และยังมีเงินกู้เสริมสภาพคล่องที่ยังมีวงเงินเหลืออีก 70,000 ล้านบาท

ก็ยังสามารถดูแลราคาน้ำมันดีเซลได้ ทั้งนี้ยอมรับว่าปัจจัยต่างๆต้องอยู่ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันในตลาดโลก เฉลี่ยอยู่ในระดับปัจจุบัน 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงก็จะสามารถดูแลราคาดีเซลต่อเนื่องไปได้อีก แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกรุนแรงขึ้น หรือมีความผันผวนตามขั้นตอนจะต้องเสนอมาตรการดูแลบรรเทาผลกระทบ และนำเสนอให้ กกต.พิจารณา เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้า
ห่วง “ฟิชท์” ปรับลดความน่าเชื่อถือไทยระยะสั้นเหตุการเมืองไม่แน่นอน
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อสังเกตจากฟิชท์ เรตติ้ง ที่วิเคราะห์สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยหลังการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ฉุดรั้งการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยในระยะสั้นได้ เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการกำหนดนโยบายของประเทศ

ความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณปี 67 และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินการตามนโยบายที่พรรคการเมืองได้หาเสียงไว้ รวมถึงความสามารถและการรักษาเสถียรภาพของสัดส่วนหนี้ภาครัฐในอนาคต อย่างไรก็ดี อันดับความน่าเชื่อถือของไทยในปัจจุบัน ยังได้รับปัจจัยหนุนจากสถานะการเงินแข็งแกร่ง นโยบายเศรษฐกิจมหภาคมีประสิทธิภาพ การบริโภคเอกชนฟื้นตัว และการท่องเที่ยวที่ยังเป็นปัจจัยบวก
วิกฤตแบงก์สหรัฐ-ยุโรป ดันส่งออกทรุดต่อเนื่อง 7 เดือนติด
นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยการส่งออกของไทยในเดือนเม.ย.66 มีมูลค่า 21,723.2 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 7.6% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับจากเดือนต.ค.65 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ติดลบ 6.8% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 23,195.0 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 7.3% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 1,471.7 ล้านดอลลาร์

ขณะที่ภาพรวม 4 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกมีมูลค่า 92,003.3 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 5.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 96,519.3 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 2.2% ขาดดุลการค้า 4,516.0 ล้านดอลลาร์ ปัจจัยหลักมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก กดดันอุปสงค์ด้านการส่งออก หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียยังคงเผชิญกับการส่งออกที่ชะลอตัว แม้ว่าปัจจัยด้านเงินเฟ้อจะชะลอลง แต่ความเปราะบางของภาคธนาคารในสหรัฐฯและยุโรป กดดันให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังคงเป้าการส่งออกทั้งปีขยายตัว 1-2%
สนค.ชี้โอกาสไทยดึงลงทุนจากศึกแยกห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ-จีน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สนค. อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการศึกษาการแยกห่วงโซ่อุปทาน (Decoupling) ของอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งได้ข้อมูลว่าการแยกห่วงโซ่อุปทานระหว่างสหรัฐฯ กับจีน มีแนวโน้มเร่งตัวรุนแรงขึ้น

โดยทั้งสองชาติมหาอำนาจต่างต้องการลดการพึ่งพาระหว่างกัน ทำให้การเคลื่อนย้ายการลงทุนในเทคโนโลยีสำคัญและขั้นสูงเป็นปัจจัยหลักที่จะผลักดันเศรษฐกิจยุคใหม่ต่อไปในอนาคต ทั้งสหรัฐฯและจีนจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตออกมาเพื่อลดความเสี่ยงทางการค้าที่อาจเกิดขึ้น โดยบริษัทดังกล่าวมีแนวโน้มย้ายมายังอาเซียนรวมถึงไทย ดังนั้น จึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของไทยที่จะดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศ โดยหลังจากจีนเปิดประเทศ พบว่ามีคณะนักลงทุนจีนเดินทางเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นและความถี่มากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของไทย
เริ่ม 3 มิ.ย.! รถไฟฟ้าสายสีเหลือง “ลาดพร้าว-สำโรง” เปิดทดลองนั่งฟรีหนึ่งเดือน
รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุถึงความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง ว่า การตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ซึ่งมีเอกชนผู้รับสัมปทาน คือ บริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (อีบีเอ็ม) ในขณะนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ตรวจสอบและประเมินความพร้อมของงานโยธา งานเดินรถ และงานระบบไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้พบว่ายังมีบางส่วนที่ต้องแก้ไขให้เป็นไปตามมาตรฐาน ก่อนเปิดทดลองให้บริการแก่ประชาชนเบื้องต้นทราบว่าทางภาคเอกชนผู้รับสัมปทานได้ดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องทั้งหมด และมีความพร้อมในการให้บริการประชาชนแล้ว

ซึ่งยืนยันด้วยว่าระบบรถไฟฟ้าความปลอดภัย 100% เป็นไปตามมาตรฐาน ขณะที่กำหนดเปิดให้บริการประชาชนนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเปิดให้บริการในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ โดยจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรี เป็นระยะเวลาราว 1 เดือน สำหรับอัตราค่าโดยสารเบื้องต้นมีการคำนวณตามสัญญาสัมปทานปี 2559 กำหนดค่าโดยสารเริ่มต้น 14 บาท สูงสุด 42 บาท แต่อย่างไรก็ดี ก่อนเปิดให้บริการจะต้องปรับอัตราค่าโดยสารตามดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) อีกครั้ง โดยจะใช้ซีพีไอ 3 เดือนก่อนวันที่เริ่มให้บริการ ดังนั้นหากสามารถเปิดบริการจริงได้ในวันที่ 3 มิถุนายน 2566 อัตราค่าโดยสารจะเริ่มต้นที่ 15 บาท สูงสุด 45 บาท ซึ่งปรับตามซีพีไอเดือนมีนาคม 2566 ส่วนแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง มีระยะทาง 30.4 กิโลเมตร เป็นรถไฟฟ้าโมโนเรล รวมจำนวน 23 สถานี โดยมีแนวเส้นทางเริ่มต้นที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว วิ่งไปตามถนนลาดพร้าว จนถึงแยกบางกะปิ และเลี้ยวขวาไปตามถนนศรีนครินทร์ ผ่านแยกศรีนุช ศรีอุดม ศรีเอี่ยม จนถึงแยกศรีเทพา เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนเทพารักษ์ ไปสิ้นสุดที่จุดตัดถนนสุขุมวิท ที่สถานีสำโรง