‘มูราตะ’ เลือกไทยฐานผลิตชิ้นส่วนสำคัญ รองรับตลาดสมาร์ทโฟน–กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนของบริษัท มูราตะ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลกจากประเทศญี่ปุ่น มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ในกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ตัวเก็บประจุแบบเซรามิกหลายชั้น (Multilayer Ceramic Chip Capacitor หรือ MLCC) กำลังการผลิตกว่า 9 หมื่นล้านชิ้นต่อปี

ซึ่ง MLCC เป็นชิ้นส่วนสำคัญในเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า ที่ปริมาณการใช้มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วรถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งคัน จำเป็นต้องใช้ MLCC ประมาณ 3,000 – 8,000 ชิ้น/คัน ส่วนในสมาร์ทโฟน ประมาณ 500 -1,000 ชิ้น/เครื่อง การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและสมาร์ทโฟนจึงเป็นแรงขับเคลื่อนให้ตลาด MLCC เติบโตอย่างก้าวกระโดดสำหรับโรงงานผลิต MLCC ของมูราตะ อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน ถือเป็นผลิตภัณฑ์ระดับเรือธงของมูราตะที่ครองส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกกว่าร้อยละ 40 ซึ่งโรงงานแห่งนี้ ถือเป็นโรงงานนอกญี่ปุ่นแห่งที่ 3 และเป็นการขยายฐานการผลิตครั้งใหญ่จากฐานเดิมที่ประเทศจีน และสิงคโปร์ โดยจะทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 2,000 ตำแหน่ง และจะเริ่มเปิดดำเนินการในเดือนตุลาคม 2566 นี้
“นักลงทุนญี่ปุ่น ถือเป็นนักลงทุนรายสำคัญของไทยตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น และยังคงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มีการพัฒนาเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตสมัยใหม่เพื่อรองรับกระแสความเปลี่ยนแปลงและความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยใช้ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของญี่ปุ่นในภูมิภาคนี้ กรณีมูราตะได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2531 และยังได้เลือกไทยเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคเพื่อดูแลบริษัทในเครือในภูมิภาคเอเชีย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่ดีของนักลงทุนญี่ปุ่นที่มีต่อประเทศไทยมาอย่างยาวนาน” นายนฤตม์กล่าวขณะที่สถิติการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 8 เดือน (ม.ค. – ส.ค. 2566) ญี่ปุ่นยื่นขอส่งเสริมการลงทุน จำนวน 156 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 40,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธ.ก.ส. ติดตามการขับเคลื่อนมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้ารายย่อยในจังหวัดสระบุรี
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วยนายยุวพล วัตถุ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานเข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ สำหรับลูกค้ารายย่อยที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ ทุกสัญญารวมกันไม่เกิน 300,000 บาท ณ 30 กันยายน 2566 โดยมีลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ได้รับสิทธิ์ตามมาตรการกว่า 2 ล้านราย ยอดหนี้ทั้งหมดจำนวน 283,000 ล้านบาท

ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เปิดบูธให้บริการตรวจสอบสิทธิ์และแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่านแอปพลิ เคชัน “BAAC Mobile” ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 โดยติดตามขั้นตอนการปฏิบัติงาน ทั้งการตรวจสอบสิทธิ์ การตรวจสุขภาพหนี้ การทำเอกสารข้อตกลงต่อท้ายสัญญา และการฟื้นฟูศักยภาพในการประกอบอาชีพ ภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” พร้อมเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นในระหว่างการพักชำระหนี้และป้องกันการก่อหนี้นอกระบบ โดยมีคณะผู้บริหารและพนักงาน ธ.ก.ส. ในพื้นที่และเกษตรกรลูกค้า เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,000 คน ณ อำเภอแก่งคอยและอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 นายยุวพล วัตถุ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อ 26 ก.ย. 2566 ให้ดำเนินมาตรการในการพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรและบุคคลที่มีสถานะเป็นหนี้ปกติและหนี้ค้างชำระ ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ทุกสัญญารวมกัน ณ 30 กันยายน 2566 ไม่เกิน 300,000 บาท ธ.ก.ส. ได้เปิดระบบการแจ้งความประสงค์และตรวจสอบสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มกราคม 2567
โดยเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเดินเล่น ชม ชิม ช้อปสินค้า พร้อมพักผ่อนไปกับบรรยากาศสบาย ๆ นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพของเกษตรกรในด้านต่าง ๆ ให้กับผู้ที่สนใจสำหรับการนำไปใช้พัฒนาและต่อยอดการประกอบอาชีพ จากนั้น เดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้สวนเพิ่มบุญ วิสาหกิจชุมชนภูริธาราพรรณ ที่ประกอบอาชีพผลิตกระชายขาว พันธุ์ท้องถิ่น โดยหันมาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ด้วยการแปรรูปเป็นกระชายผงพร้อมดื่มและกาแฟกระชายปรุงสำเร็จโดยใช้วิธีการ Freeze Dried ที่ทันสมัย เพื่อให้ได้สารอาหารในเครื่องดื่มที่สมบูรณ์ที่สุด ลดความเผ็ดร้อนลง และดื่มได้ง่าย นอกจากนี้ ทางกลุ่มฯ ยังมีการพัฒนาพื้นที่สวนเพิ่มบุญให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรสมุนไพรแลสุขภาพที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชมและเรียนรู้กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย ซึ่ง ธ.ก.ส. พร้อมสนับสนุนโครงการฟื้นฟูศักยภาพในการประกอบอาชีพ เพื่อร่วมกันพัฒนาและส่งเสริมให้สมาชิกกลุ่มฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นในระหว่างการพักหนี้ อันนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างยั่งยืน
โฆษกรัฐบาลเผยกำหนดการ นายกฯ เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการ
วันนี้ (30 ตุลาคม 2566) เวลา 07.30 น. นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากท่าอากาศยานอุดรธานี ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติวัดไต นครหลวงเวียงจันทน์ โดยเวลาประมาณ 8.00 น. นายกรัฐมนตรีจะได้ร่วมพิธีต้อนรับที่ท่าอากาศยานนานาชาติวัดไต

โดยนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ สำนักงานนายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ก่อนการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี และนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ต่อจากนั้น จะมี 1) พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่าง กระทรวงวัฒนธรรม กับกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว สปป. ลาว 2) พิธีลงนาม Record of Discussions between NEDA and Lao National Railway for the Technical Assistance for the Capacity Building for Locomotive Driving and Ticketing System and Development of a Business Model for the Lao National Railway 3) พิธีส่งมอบสวนรุกขชาติมิตรภาพเพื่อฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตราชอาณาจักรไทย – สปป. ลาว และ 4) พิธีส่งมอบศูนย์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน ตามแนวทาง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ณ โรงเรียนเทคนิควิชาชีพแบบผสม แขวงอัตตะปือ
ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีเข้าเยี่ยมคารวะนายทองลุน สีสุลิด ประธานประเทศ สปป. ลาว ณ ทำเนียบประธานประเทศ สปป. ลาว พบหารือนายไซสมพอน พมวิหาน ประธานสภาแห่งชาติ สปป. ลาว ณ สภาแห่งชาติ สปป. ลาว และเดินทางไปเป็นประธานร่วมในพิธีเปิดสถานีเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) กับนายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ต่อจากนั้น ในช่วงเวลา 12.00 น. นายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่นายกรัฐมนตรี สปป. ลาวเป็นเจ้าภาพ ณ โรงแรมลาวพลาซ่า
นายกฯ ปลื้ม คนแห่ชม “บั้งไฟพญานาค” หนองคาย ทำเที่ยวบิน-ที่พักเต็ม กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น
วันนี้ (30 ตุลาคม 2566) ณ ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและมนตรีว่าการกระทรวงคลัง กล่าวถึงการได้รับชมบั้งไฟพญานาค ในภารกิจเดินทางมาที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคายว่า ได้เห็นศักยภาพของประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองรองจังหวัดหนองคาย ที่สามารถมีวัฒนธรรมดี ๆ ทำให้คนเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่แน่ใจว่าจำนวนคนมาถึงแสนหรือไม่ รวมถึงโรงแรม เที่ยวบินไปและกลับเต็มทั้งหมด เพราะมีรัฐมนตรีหลายคนไม่มีไฟลท์บินกลับเนื่องจากหาเที่ยวบินกลับไม่ได้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องน่ายินดี หากเราสามารถจัดกิจกรรมประเพณีกิจกรรมเทศกาลขนาดใหญ่ให้เกิดขึ้นในแต่ละจังหวัดได้ ก็จะทำให้เกิดการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้พี่น้องประชาชนมีรายได้เสริมมากขึ้น
มาแล้ว ! สลากถุงทอง หน่วยละ 2,000 บาท ลุ้นรางวัลที่ 1 จำนวน 60 ล้านบาท 24 ครั้ง
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบวันสถาปนา ธ.ก.ส. ก้าวสู่ปีที่ 58 ได้เปิดตัว “สลาก ธ.ก.ส. ชุดถุงทอง” หน่วยละ 2,000 บาท จำนวน 50 ล้านหน่วย แบ่งเป็น 5 หมวด ได้แก่ GA, GB, GC, GD และ GE หมวดละ 10 ล้านหน่วย วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท อายุการรับฝาก 2 ปี เมื่อฝากครบกำหนด จะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 35 บาท คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.875 ต่อปี โดยรางวัลที่ 1 มีมูลค่าสูงถึง 60 ล้านบาท และยังมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลอื่น ๆ ทุกเดือนรวม 24 ครั้ง

โดยจับรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน ยกเว้นเดือนมกราคม ออกรางวัลในวันที่ 17 มกราคม ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 Grand Prize เสี่ยงหมวด จำนวน 1 รางวัล รางวัลละ 60,000,000 บาท ต่างหมวด รางวัลที่ 1 จำนวน 4 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท รางวัลที่ 2 หมุน 3 ครั้ง จำนวน 15 รางวัล รางวัลละ 100,000 บาท รางวัลที่ 3 หมุน 10 ครั้ง จำนวน 50 รางวัล รางวัลละ 50,000 บาท รางวัลที่ 4 หมุน 20 ครั้ง จำนวน 100 รางวัล รางวัลละ 20,000 บาท รางวัลที่ 5 หมุน 100 ครั้ง จำนวน 500 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท รางวัลเลขท้าย 4 ตัว หมุน 1 ครั้ง จำนวน 5,000 รางวัล รางวัลละ 250 บาท และรางวัลเลขท้าย 3 ตัว หมุน 2 ครั้ง จำนวน 100,000 รางวัล รางวัลละ 50 บาท รวมรางวัลต่องวดทั้งสิ้น 105,670 รางวัล คิดเป็นเงินรางวัลสูงสุด 77,650,000 บาทต่อเดือนสำหรับผู้ฝากสลากผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile และประสงค์ออกบัตรสลากออมทรัพย์
ธนาคารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการออกบัตรสลากฉบับละ 20 บาท และในกรณีถอนสลากคืนก่อนครบกำหนดจะไม่ได้รับดอกเบี้ย หรือกรณีฝากสลากไม่ครบ 3 เดือน ธ.ก.ส. จะคิดค่าธรรมเนียมการถอนจากมูลค่าสลาก 40 บาทต่อหน่วย โดยดอกเบี้ยและเงินรางวัลในการฝากสลากออมทรัพย์ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาและสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ของ ธ.ก.ส. ได้อีกด้วย เริ่มออกรางวัลครั้งแรกวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งผู้ฝากสลากภายในวันที่ 15 ของเดือน จะได้รับสิทธิ์ตรวจรางวัลในเดือนนั้น ๆทั้งนี้ สามารถตรวจผลการออกรางวัลและรับชมการถ่ายทอดสดการออกสลากออมทรัพย์ได้ทางเว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page ธกส BAAC Thailand และ ธกส บริการด้วยใจ Youtube Channel “BAAC Thailand” และแอปพลิเคชัน BAAC Mobile โดยธนาคารจะโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่เป็นบัญชีคู่โอนของลูกค้าทันทีในวันถัดไปหลังจากวันออกรางวัลในแต่ละงวด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา ทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555