บล.กสิกรไทย ปรับลด SET Index ลงเหลือ 1,750 จุดหลังสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนปะทุอีกรอบ แต่ยังเชื่อมั่นว่าจะไม่ส่งผลร้ายแรง พร้อมเปิดโผ 12 หุ้นเด่น MINT, ERW, CPALL, CPF, BGC, TKN, TFFIF, JASIF, AMATA, DTAC, TRUE และ INTUCH
นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยังตงมุมมองเป็นบวกต่อภาพรวมตลาด แต่ได้ปรับลดเป้าหมาย SET Index ล่วงหน้า 12 เดือนของเราลงเล็กน้อยเป็น 1,750 จุด จากเดิมที่ 1,775 จุด โดยแรงขายหลังจากที่ บล.กสิกรไทยได้ตีพิมพ์บทวิเคราะห์ไปเมื่อปลายเดือน ก.ค.62 หลักๆ เป็นผลมาจากข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่วกกลับมาทวีความรุนแรงอีกครั้ง และความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ขณะที่เราให้น้ำหนักกับประเด็นผลประกอบการที่อ่อนแอในไตรมาส 2/62 ไม่มากนัก ซึ่งโดยรวมแล้วกำไรไตรมาส 2/62 ออกมาดีกว่าประมาณการของ บล.กสิกรไทย 3% แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดอยู่ 2%
ปัจจัยสนับสนุนต่อมุมมองบวกของเรามาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะมาถึง โอกาสที่จะได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศหลังจากได้รับการปรับเพิ่มอันดับจาก Fitch และ Moody’s ประกอบกับสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง และสถานะทางการเงินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งของประเทศไทย
ด้านปัจจัยภายนอก เรามองว่าท่าทีเชิงผ่อนคลายของธนาคารกลางต่างๆ สภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ภาพรวมอัตราเงินเฟ้อที่เบาบาง และรอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้ โดยเราเชื่อว่าจากปัจจัยบวกเหล่านี้จะมีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยลบที่ประเมินเป็นตัวเลขได้ เช่น เศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนแอ ความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นโดยรวมของตลาดลง และการส่งออกที่อ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์ เช่นความตรึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน การประท้วงในฮ่องกง และประเด็น BREXIT ต่างเป็นปัจจัยเสี่ยงประเภท fat-tail ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ยากในการประเมินถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และอาจมีผลกระทบที่รุนแรง โดยมีสมมุติฐานกรณีพื้นฐานว่าเหตุการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้จะไม่ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นวิกฤตโลก แต่จะมีลักษณะเป็นประเด็นยืดเยื้อ ที่จะได้รับการแก้ไขผ่านการเจรจากันจำนวนมาก
ส่วนกำหนดการประเด็น BREXIT ที่จะมาถึงวันที่ 31 ต.ค.62 สามารถคลี่คลายได้โดยการเลือกตั้งทั่วไป หลังจากประสบความสำเร็จในการลงคะแนนเสียงอย่างเปิดเผยของรัฐบาลชุดปัจจุบัน หรือการขยายเวลามาตรา 50
สำหรับประเด็นความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน บล.กสิกรไทย ได้ทำการศึกษาหนังสือ The Art of the Deal ที่อิงเนื้อหาจากประสบการณ์การทำธุรกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ วึ่งเราสามารถตีความเข้ากับสถานการณ์สำคัญในปัจจุบันได้ดังนี้
1.คาดว่าสงครามการค้าจะไม่เป้นภัยพิบัติต่อเศรษฐกิจ เพราะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บริหารจัดการความเสี่ยงได้ดีเสมอ
2.ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีรูปแบบการเจรจาเชิงรุกและมุทะลุ ทำให้กระบวนการเจรจามักเกิดความผันผวนสูง
3.ด้วยความตระหนักถึงความเสี่ยง เราจึงเชื่อว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทราบดีถึงข้อจำกัดที่มีอยู่ และไม่คาดว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะดำเนินมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีกับจีน เพราะยากต่อการประเมินผลกระทบเชิงลบ
4.ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะหลีกเลี่ยงที่จะเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงและจุดอ่อนของตนเอง เพราะเขาเชื่อว่าตนเองจะสูญเสียอำนาจต่อรองได้ โดยที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจีนจะโดต้กลับไปยังกลุ่มสินค้าเกษตร ซึ่งเราคาดว่าอาจเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของสหรัฐฯ
จากสถานการณ์ในปัจจุบันเราจึงได้มีการแนะนำหุ้นที่น่าสนใจทั้งหมด 7 กลุ่มอุตสาหกรรมดังนี้
1.กลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยว โดยหุ้นที่แนะนำคือ MINT และ ERW เนื่องจากคาดว่าการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวครึ่งปีหลัง ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในแดนบวก สืบเนื่องจากเหตุการณ์ประท้วงในฮ่องกงที่จะทำให้นักท่องเที่ยวจีนกลับเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งนี้ AOT รายงานการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่พลิกมาอยู่ในแดนบวกที่ 4.3% ในเดือน ก.ค.62 และยังมีแนวโน้มเป็นบวกต่อเนื่องในเดือน ส.ค.62 ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนที่ 12-14% ต่อรายได้ของกลุ่มหุ้นโรงแรม
2.กลุ่มพาณิชย์ หุ้นที่แนะนำคือ CPALL เพราะมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจากรัฐบาล และจากมาตรการกระตุ้นเศรษบกิจในต่างจังหวัด
3.กลุ่มเกษตร หุ้นที่แนะนำคือ CPF คาดว่าจะมีกำไรที่แข็งแกร่งในปี 62 เนื่องจากราคาสุกรมีการแข็งแกร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่เวียดนาม
4.กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม หุ้นที่แนะนำคือ BGC และ TKN โดย BGC อาจได้รับการปรับเพิ่มมูลค่าเป็น PER ที่สูงกว่า 15 เท่าในปี 62 ขณะที่กำไรปี 62-3 คาดว่าจะเติบโตขึ้น 20% จากอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น จากปริทธิภาพที่ดีขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติที่ถุกลงในปี 63 พร้อมกับแนวโน้มราคาเชื่อเพลิงขาลงหลังบังคับใช้กฎข้อบังคับใหม่จากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศในปี 63
ขณะที่ TKN มีโอกาสเติบโตในต่างประเทศสูงมากขึ้น หลังจากมีพันธมิตรใหม่อย่าง Pan Orion Corp ที่มีเครือข่ายจัดจำหน่ายสินค้าขนมขบเคี้ยวที่แข็งแกร่งกว่า 60 ประเทศ และพันธะอันดีกับ TKN ด้วยการถือหุ้น 3.5%
5.กลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่แนะนำคือ TFFIF และ JASIF เนื่องจากมีโอกาสได้รับการอัดฉีดทรัพย์สินใหม่
6.กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม หุ้นที่แนะนำคือ AMATA มีสถานะที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจาก FDI ที่สูงขึ้น หลังจากมีการย้ายฐานโรงงานจากประเทศจีน
7.กลุ่ม ICT หุ้นที่แนะนำคือ DTAC TRUE และ INTUCH เพราะคาดว่าจะมีดัชนีที่ชนะ SET Index ต่อไปในช่วง 12 เดือนข้างหน้า เพราะคาดว่าตลาดยังไม่สะท้อนปัจจัยบวกอย่างสภาวะการแข่งขันที่เบาบางต่อตลาดมือถือ, UPSIDE จากความร่วมมือกันในตลาดมือถือ, การเติบโตของกำไรธุรกิจหลักที่สูงขึ้นในครึ่งหลังของปี 62 และครึ่งแรกของปี 63 และราคาตั้งต้นการประมูลใบอนุญาต 5G ที่สมเหตุสมผล