โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ ประกาศถอนหุ้น GLOW ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯภายในเดือน ธ.ค.นี้ หลังมีการเข้ารวมกิจการ เตรียมออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ 1,321 ล้านหุ้น นำเงินขยายโรงไฟฟ้าเพิ่ม และชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC นำโดย นางสาววนิดา บุญภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงินและบัญชีองค์กร, นางสาวสุกิตตี ไชยรักษ์ ผู้จัดการฝ่ายแผนกลยุทธ์และบริหารการเงินองค์กร และนายพงษ์ศักดิ์ พลายงาม ผู้จัดการส่วนผู้ลงทุนสัมพันธ์เข้าชี้แจงผลดำเนินงานไตรมาส 2/62 ในงาน Opportunity Dy บริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
นาวสาววนิดา กล่าวว่า เป็นที่รู้กันว่าช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้เข้าไปซื้อหุ้น GLOW และช่วงไตรมาส 2 ได้มีการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์เพิ่ม 26% ซึ่งขณะนี้บริษัทฯถือหุ้น GLOW อยู่ 95% โดยจะเหลือการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์รอบสุดท้ายในการนำหุ้นโกลท์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเดือน ธ.ค.นี้ แต่ยังคงสถานะบริษัทฯอยู่
ส่วนการเพิ่มทุนอีก 74,000 ล้านบาท วันที่ 2 ก.ย.นี้ บริษัทฯ จะเปิดให้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนวันสุดท้าย โดยชำระเงินที่ธนาคารกสิกรไทยทั่วประเทศ และวันที่ 15 ต.ค.ที่จะถึงนี้ จะเป็นวัน First Day Trade ซึ่งราคาหุ้นเพิ่มทุนอยู่ที่ 56 บาท/หุ้น และคิดเป็นจำนวนหุ้นเพิ่มทุนใหม่ทั้งหมด 1,321 ล้านหุ้น ซึ่งเมื่อนำไปรวมกับหุ้นปัจจุบันจะทำให้มีหุ้นทั้งหมดจำนวน 2,800 ล้านหุ้น โดยเป็นการเพิ่มทุนแบบ Right Offering ซึ่งมีความเป็นธรรมสำหรับผู้ถือหุ้นทั้งรายย่อยและรายใหญ่
สำหรับวัตุประสงค์ของการเพิ่มทุนในครั้งนี้ คือการนำเงินที่ได้ไปลงทุนในการซื้อหุ้นโกลท์ และการทำโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ รวมไปถึงการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นของบริษัทฯ ขณะที่หลังจากมีการควบรวมกับ GLOW แล้วบริษัทฯยังคงมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิเช่นเดิม
ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าของบริษัทฯ ในปี 62 มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 4,784 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ซึ่งปี 63 จะมีการขยางโรงไฟฟ้านวนครเฟส 2 และ ปี 64 จะสร้างโรงไฟฟ้าขยะเสร็จ ต่อมาในปี 66 คาดสร้างโรงไฟฟ้า ERU เสร็จ จะทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้น 5,026 เมกะวัตต์
ส่วนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ คือการทำงานร่วมกับ GLOW ซึ่งจะทำให้ EBITDA ของบริษัทฯเพิ่มขึ้นทุกปี และจะหาโครงการใหม่ ๆ ที่สามารถร่วมทุนกับบริษัทฯได้ นอกจากนี้ยังมีการเน้นเจริญเติบโตในการทำธุรกิจแบตเตอร์รี่อีกด้วย
ตั้งแต่ปี 67 EBITDA ของบริษัทฯจะเพิ่มขึ้น 1.6 พันล้านบาททุกปี จากการทำซินเนอร์ยี่ ซึ่งส่วนใหญ่ 89% จะเป็นการบริหารจัดการซ่อมบำรุง ส่วนที่เหลือจะเป็นกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเมื่อมีการจัดซื้อมากจากการควบรวมกิจการกับ GLOW จะช่วยลดต้นทุนได้ ส่วนที่เหลือจะเป็นเรื่องซินเนอร์ยี่สายงานอื่น ๆ เช่นบัญชี และไอที เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัทฯ กำลังจะมีการลงทุนด้วยงบ 4 พันล้านบาทในการเชื่อมต่อว่างท่อไฟฟ้าและไอน้ำ เพื่อให้สามารถจัดการโรงไฟฟ้าของบริษัทฯ และ GLOW ที่มีทำเลใกล้กันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเริ่มลงทุนตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้
ด้าน นาวสาวสุกิตตี กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีอีก 3 โครงการที่จะเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ ประกอบด้วย โครงการน้ำลิก ที่สปป.ลาว กำลังการผลิตไฟฟ้า 64.7 เมกะวัตต์, โครงการไซยะบุรี กำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเปิดดำเนินการช่วงเดือน ต.ค.นี้ โดยจะขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) และการไฟฟ้าของ สปป.ลาว นอกจากนี้ยังมีโครงการเซ็นทรัล ยูนิตี้ แพลน 4 ที่จ.ระยอง มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 45 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเริ่มซีโอดีปลายปีนี้ และทั้ง 3 โครงการจะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีในปี 63
ทั้งนี้ ยังมีโครงการส่วนขยายของโครงการนวนคร กำลังการผลิตไฟฟ้า 185 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเปิดดำเนินการช่วงไตรมาส 3 ปี 63 และโครงการระยอง เวสท์ ทู เอเนอร์ยี่ กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ปี 64 และโครงการสุดท้ายในปี 66 คือโครงการ ERU กำลังการผลิต 250 เมกะวัตต์ มีสัญญาระยะยาวกับไทยออยล์ 25 ปี
ส่วน นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 1,441 ล้านบาท เติบโตขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่สามารถทำรายได้ 19,990 ล้านบาท เติบโตขึ้น 120% ซึ่งเป็นผลมาจากการนำรายได้ของ GLOW มาคิดรวมเข้าไปด้วย
ราคาหุ้น GPSC ก่อนปิดตลาดซื้อขายวันที่ 29 ส.ค.62 อยู่ที่ 72.50 บาท/หุ้น ลดลงจากระดับ 73.50 บาท/หุ้น (-1.36%) เมื่อวันที่ 28 ส.ค.62