“กกต.”เล็งส่งศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ขาดคุณสมบัติ “พิธา” ปมถือหุ้น itv
แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดีหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ “หุ้น Itv” ของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ว่า เรื่องนี้มีความซับซ้อน โดยเฉพาะตัวกฎหมาย เนื่องจากมีพื้นฐานมาจากคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส เงื่อนไขแรกห้วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง ตามกระบวนการจะต้องส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา

โดยจะเชิญผู้สมัครมาชี้แจงหรือไม่มาชี้แจงก็ได้ ซึ่งมี 37 คดีที่ศาลได้วินิจฉัยแล้ว เงื่อนไขที่ 2 หลังการเลือกตั้ง กรณีที่เห็นว่าผู้สมัครมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามจะดำเนินการตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 เป็นคดีอาญา ต้องแจ้งผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาชี้แจง โดยการดำเนินการจะต้องดูเอกสารหลักฐานอย่างครบถ้วนปราศจากข้อสงสัย แล้วดูเจตนาประกอบด้วย เงื่อนไขหลังประกาศรับรองผลการเลือกตั้งวิธีการคือ ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีนี้จะเชิญผู้ที่มีลักษณะต้องห้ามการเป็น ส.ส.มาชี้แจงหรือไม่ก็ได้ หาก กกต.มีหลักฐานหรือเห็นเป็นความปรากฏ ในชั้นนี้ผู้ที่สามารถวินิจฉัยได้คือศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ กกต. โดยการตรวจสอบในขั้นตอนนี้เป็นอำนาจของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ซึ่งยังไม่รายงานรายละเอียดการดำเนินการตรวจสอบให้กกต.พิจารณา จนกว่าจะสืบสวนเสร็จ ระหว่างนี้กกต.และสำนักงานฯ ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายและแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการสืบสวนได้ โดยมีกรอบการพิจารณา 20 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 3 ก.ค.หากพิจารณาไม่เสร็จสามารถยื่นขอขยายเวลาดำเนินการอีก 15 วัน
“เศรษฐา” เชื่อก้าวไกล – เพื่อไทยตั้งรัฐบาลได้ มั่นใจเรื่องประธานสภาฯจบด้วยดี
เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่พรรคเพื่อไทยว่าในเรื่องของประเด็นการเลือกประธานสภาฯซึ่งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลยังอยู่ระหว่างการหารือกันนั้น เชื่อว่าจะดำเนินไปได้ด้วยดีและยังมีเวลาในการหารือกันอีก 3-4 วัน ยืนยันว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะยังคงจับมือกันเพื่อหาทางออกและจัดตั้งรัฐบาลเช่นเดิม จะได้มีรัฐบาลใหม่และแก้ปัญหาต่างๆ ภายในประเทศเพื่อพี่น้องประชาชน

อย่างไรก็ตามก็คงต้องคุยกันต่อไปในส่วนของเรื่องรายละเอียดต่างๆ ทั้งนี้ตนไม่ได้อยู่ในส่วนของคณะกรรมการพิจารณาจึงไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากมาย เพียงแต่เท่าที่ได้ยินมาก็ทราบว่ากำลังเป็นไปได้ด้วยดี และมั่นใจว่าเป้าหมายหรือธงในการตั้งรัฐบาลร่วมกันนั้นสำคัญกว่าตำแหน่งประธานสภาฯ ตอนนี้ยังมั่นใจว่าทั้งสองพรรคจะหารือกันจนได้ข้อสรุปและนำไปสู่การตั้งรัฐบาลร่วมกันได้
สภาฯยังไม่นัดวันประชุมฯ หลังก้าวไกล – เพื่อไทย ยังคุยเรื่องตำแหน่งประธานสภาฯไม่ลงตัว
ความเคลื่อนไหวที่รัฐสภา ภายหลังจากที่พรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงนามในหนังสือ แจ้งสมาชิกรัฐสภาทั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ สมาชิกวุฒิภา (ส.ว.) ในการขอเชิญเข้าร่วมพิธีเปิดประชุมรัฐสภา (รัฐพิธี) ในวันที่ 3 ก.ค. เวลา 17.00 น ณ ห้องโถง พิธีชั้น 11 อาคารรัฐสภา ซึ่งตามกำหนดการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดประชุมรัฐสภา

โดยจะมีนายกฯคณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูตประเทศต่างๆ ประธานศาลฎีกา และประธานองค์กรอิสระเข้าร่วม กว่า1,000 คน ส่วนในวันที่ 4 ก.ค.เดิมที่วางไว้เป็นกำหนดวันประชุมสภาฯ นัดแรก เพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ทั้ง 2 คน จนถึงขณะนี้ทางสำนักงานเลขาธิการรัฐสภายังไม่มีการทำหนังสือเชิญสมาชิกเข้าร่วมประชุมแต่อย่างไร เนื่องจากสภาฯจะขอประเมินสถานการณ์ความพร้อมในการเลือกประธานสภาฯ อีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้ทั้ง 2 พรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ยังไม่มีข้อสรุป และต้องรอการหารือของ 8 พรรคการเมืองในวันที่ 2 ก.ค.ก่อน และตามขั้นตอนสภาฯจะต้องทำหนังสือแจ้งสมาชิกให้รับทราบล่วงหน้า 3 วันก่อนที่จะมีการประชุม และตามกรอบเวลาตามระเบียบ วันประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกจะต้องเปิดประชุมภายใน10 วัน นับตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา ซึ่งจะตรงกับวันที่ 12 ก.ค.
“ธรรมนัส” ปัดจ่อเสนอชื่อ “สุชาติ” ชิงประธานสภาฯ
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พะเยา เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณี ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี พปชร. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุ “เก้าอี้ประธานสภา สุดท้ายจะเป็นของท่านสุชาติ (พ่อมดดำ) โดยมีท่านธรรมนัส เป็นผู้เสนอชื่อ” ว่าเรื่องดังกล่าวถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างชัดเจน เพราะแม้ตนเอง จะรู้จักและเคารพนับถือท่านสุชาติ เป็นการส่วนตัวเพราะเคยร่วมงานการเมืองในพรรคเดียวกันมาก่อน

แต่เมื่อท่านสุชาติ ได้ตัดสินใจย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทยแล้ว ก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยว หรือพูดคุยกันเรื่องประธานสภาฯเพราะถือเป็นเรื่องภายในพรรคเพื่อไทย ที่จะดำเนินการร่วมกับพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาล
โดยขอยืนยันว่าตนเองมีในมารยาททางการเมืองที่จะต้องให้พรรคที่ได้คะแนนเสียงเยอะที่สุดดำเนินการจัดตั้งรัฐบาล ช่วงนี้ขออยู่นิ่งๆ และเดินหน้าลงพื้นที่พบปะพ่อแม่พี่น้องชาวพะเยา ที่ไว้วางใจเลือกจนเองมาเป็น ส.ส.อีกสมัย ซึ่งเป็นการทำงานในช่วงนี้ ลงพื้นที่มากขึ้นหนักขึ้นไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคอื่น
สมาชิกพรรค “รทสช.” โพสต์ข้อความยุติความรุนแรงต่อสตรี
สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ทั้ง ส.ส.ปัจจุบัน ,อดีต ส.ส.,อดีต ผู้สมัคร ส.ส.ต่างพร้อมใจกันโพสต์ข้อความ “STOP VIOLENCE AGAINST WOMEN” พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรี ด้วยการร่วมกันใส่สีขาว (สัญลักษณ์ของสันติภาพ) พร้อมถ่ายรูปท่ายกมือห้าม พร้อมข้อความ “STOP VIOLENCE AGAINST WOMEN + ใส่แฮชแท็ก “#ส.ส.ทำร้ายร่างกายผู้หญิง” พร้อมทั้งเรียกร้องให้แสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้สังคมหันมาให้ความสำคัญต่อความเท่าเทียมระหว่างบุรุษและสตรี และยุติความรุนแรงต่อสตรีให้หมดไป

โดยกรณีดังกล่าวเกิดจากเหตุการณ์ ทำร้ายร่างกายผู้หญิง จนกลายเป็นกระแสทำให้แฮชแท็ก #ส.ส.ทำร้ายร่างกายผู้หญิง ติดเทรนด์บนทวิตเตอร์ กระทั่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อกรณีดังกล่าวเป็นจำนวนมากภายหลังมีการเสนอข่าว หญิงสาวรายหนึ่งเข้าแจ้งความที่ สภ.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พร้อมผลการตรวจร่างกายว่าถูกทำร้ายร่างกาย และในกรณีนี้มีการระบุว่าส.ส.กรุงเทพมหานคร ของพรรคก้าวไกลรายหนึ่งทำร้ายร่างกาย ต่อมารัดเกล้า สุวรรณคีรี หรือ เนเน่ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ และ รองโฆษกพรรค ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว “เนเน่ รัดเกล้า สุวรรณคีรี” ออกมา รณรงค์ให้สังคมออกมาช่วยกันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรี ขณะที่ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “ได้ข่าวการทำร้ายร่างกายสุภาพสตรีแล้วรู้สึกขยะแขยงครับ แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้ก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งผู้ที่กระทำมีตำแหน่งสำคัญทางสังคมขอให้ยุติเรื่องแบบนี้สักที