สนค.จับกระแสเทคโนโลยีด้านสุขภาพ (HealthTech) พบว่ามูลค่าของเทคโนโลยี AI ในตลาดธุรกิจด้านสุขภาพทั่วโลก (AI in Healthcare Market) มีมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่า จะมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 1.88 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 แนะแชตจีพีที (ChatGPT) เป็นระบบที่น่าสนใจในการขยายการบริการและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคธุรกิจดังกล่าว
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์ธุรกิจ HealthTech พบว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI – Artificial Intelligence) เข้ามามีบทบาทสำคัญกับธุรกิจด้านสุขภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าให้ได้รับการบริการที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ข้อมูลจาก statista.com ระบุว่า ในปี 2564 เทคโนโลยี AI ในตลาดธุรกิจด้านสุขภาพทั่วโลก มีมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการคาดการณ์ว่าเทคโนโลยี AI ในตลาดดังกล่าว จะมีมูลค่าสูงถึงเกือบ 1.88 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยในช่วงปี 2565-2573 อยู่ที่ร้อยละ 37 ต่อปี

ในส่วนของไทย ก็มีความก้าวหน้าในการนำ AI มาใช้ในธุรกิจด้านสุขภาพมากขึ้น เช่น ซอฟต์แวร์ AI เพื่อคัดกรองมะเร็ง ‘Chest 4 All’ โดยความร่วมมือของ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสถาบันทรวงอก โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และหุ่นยนต์ลำเลียงยาอัตโนมัติ ‘B-Hive 1’ ที่โรงพยาบาลศิริราช นำมาช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำงานของเภสัชกร เป็นต้น
ผอ.สนค. กล่าวถึง โปรแกรม ‘ChatGPT (Generative Pretrained Transformer)’ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี AI Chatbot ที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน ซึ่งเดิมมีการใช้ AI Chatbot ที่ใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) เข้ามาช่วยในการจัดการฐานข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วยเพื่อการวินิจฉัยโรค การคัดกรอง และดูแลผู้ป่วยในเบื้องต้นอยู่บ้างแล้ว แต่การพัฒนาของ ChatGPT ที่เหนือกว่าโปรแกรม Chatbot ทั่วไป ด้วยมีการประมวลผลทางสถิติและความน่าจะเป็น
ซึ่งเป็นความสามารถของอัลกอริทึมปัญญาประดิษฐ์ และวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) อีกทั้งสามารถตอบคำถามในรูปแบบข้อความเสมือนมนุษย์ จึงเป็นจุดเด่นทำให้ ChatGPT แตกต่างจากโปรแกรม Chatbot อื่น ๆ นอกจากนี้ มีงานศึกษาวิจัยของ Tbilisi State Medical University ที่สนับสนุนถึงโอกาสและแนวทางการพัฒนา ChatGPT มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและต่อยอดการให้บริการในธุรกิจสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแพทย์ทางไกล การอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยในการเข้ารับบริการ ช่วยลดต้นทุนให้กับธุรกิจ ลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยให้ผู้ประกอบการด้านธุรกิจสุขภาพสามารถดำเนินกิจการได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างแนวทางการประยุกต์ใช้ ChatGPT กับธุรกิจบริการสุขภาพ เช่น การให้บริการการแพทย์ทางไกล โดยช่วยประเมินข้อมูลการรักษาเบื้องต้นจากฐานข้อมูลผู้ป่วย การวางแผนและประเมินการรักษาผู้ป่วยแบบรายบุคคลที่เหมาะสมรวดเร็วและแม่นยำขึ้น การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ถึงปัญหาสุขภาพในอนาคต ทำให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยได้แต่เนิ่น ๆ รวมถึงช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเฝ้าระวังความเสี่ยงปัญหาสุขภาพของตน ช่วยติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง และยังสามารถนำมาใช้ด้านการสนับสนุนฟื้นฟูและประเมินสุขภาพจิตของผู้ป่วย คัดกรองความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตของผู้ป่วยได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการในองค์กร เช่น การตอบคำถามเบื้องต้นในการเข้ารับบริการ ลงทะเบียนให้กับผู้ป่วย การจัดการเวชระเบียนและเวชสถิติในโรงพยาบาล และการจัดเก็บและสืบค้นบันทึกข้อมูลประวัติผู้ป่วย เป็นต้น
ปัจจุบัน ChatGPT ได้มีการศึกษาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจบริการด้านสุขภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ธุรกิจบริการด้านสุขภาพลดต้นทุน ลดภาระงานของบุคลากร และเพิ่มคุณภาพการให้บริการ ขยายฐานบริการและสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับธุรกิจ รวมทั้งยังสามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ป่วยได้อีกด้วย อย่างไรก็ดี ChatGPT ยังคงอยู่ในช่วงของการพัฒนา ทำให้อาจยังมีข้อจำกัดในเชิงการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ ต้องระมัดระวังความถูกต้องของข้อมูล รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าเชื่อถือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสุขภาพของผู้รับบริการ เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้รับบริการ

ผอ. สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า ธุรกิจการให้บริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพของไทยมีศักยภาพ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ไทยเป็นอันดับ 5 จาก 195 ประเทศของดัชนีความมั่นคงทางสุขภาพ (Global Health Security Index: GHS) ประจำปี 2564 (ล่าสุด) นอกจากนี้ ประเทศไทยมีเป้าหมายการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)” ภายในปี 2569 ประกอบกับกระแสการดูแลรักษาสุขภาพที่สูงขึ้น และการเข้าสู่สังคมสูงวัย ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ธุรกิจด้านการดูแลรักษาสุขภาพมีความต้องการมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยยังมีข้อจำกัดทั้งด้านภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีปริมาณมาก

การเข้าถึงและความครอบคลุมของบริการทางการแพทย์ ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีจะช่วยให้ธุรกิจด้านสุขภาพสามารถบริหารราคาค่าบริการที่ถูกลง ในอีกทางหนึ่ง การพัฒนาเทคโนโลยีบริการทางการแพทย์ จะช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่าง ๆ เช่น เภสัชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ และอุปกรณ์อัจฉริยะแบบสวมใส่ได้ (Smart Wearable Devices) ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ในการนี้ รัฐควรสนับสนุนและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการบริการดังกล่าว ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจนำไปใช้แพร่หลาย รวมถึงปรับปรุงมาตรการและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาทางไกล เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการไทยก็ต้องเร่งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การให้บริการของธุรกิจ ให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกัน