หัวเว่ย (ไทย) ฉลองครบรอบ 20 ปี การดำเนินธุรกิจ ย้ำมุ่งมั่นนำเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดเข้าสู่มือผู้ใช้ เตรียมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย และเปิดอะเคเดมีสร้างคนไอทีป้อนอุตสาหกรรม
นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย ประเทศไทย จำกัด ระบุว่า “ปีนี้เป็นอีกปีที่มีความสำคัญสำหรับหัวเว่ย เนื่องในการฉลองการดำเนินงานในไทยครบรอบ 20 ปี หลังจากที่ได้สั่งสมการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราจึงมีความเข้าใจในตลาดอย่างลึกซึ้ง และตระหนักดีกว่านวัตกรรมที่สร้างอนาคตของประเทศไทยมีความสำคัญอย่างไร
โดยกุญแจสำคัญที่จะนำศักยภาพด้านนวัตกรรมมาสู่ประเทศนี้คือบุคลากรที่มีความสามารถ และกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลก็คือ อีโคซิสเต็มของอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบของหัวเว่ยในการส่งเสริมและสนับสนุนประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่การสานพลังนวัตกรรม เชื่อมไทยสู่อนาคต ร่วมกัน”
-หัวเว่ยและซันไรส์ สร้างสถิติใหม่ 5G ดาวน์โหลดสูงสุด 3.67 Gbps
-เปิดตัวแล้ว Huawei Mate 30 และ Mate 30 Pro มาพร้อม Huawei Mobile Services
การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีในประเทศไทยถือเป็นเรื่องสำคัญ
นับตั้งแต่การก่อตั้งสำนักงานในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2542 หัวเว่ยมีบทบาืทสำคัญในการช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีให้แก่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผู้พัฒนาโครงข่าย 2G, 3G และ 4G ในประเทศไทยได้สำเร็จ และยังเป็นผู้นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ อีกด้วย
นายอาเบล เติ้ง ระบุว่า “เรามีความภูมิใจที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีให้แก่ประเทศไทยตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา หัวเว่ยจะยังคงต่อยอดความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งตรงตามวิสัยทัศน์ของหัวเว่ย ในการส่งมอบเทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่คนไทยทุกคน ทุกครัวเรือนและทุกองค์กร เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างไร้รอยต่อในโลกแห่งนวัตกรรมนี้”
นอกจากการเป็นศูนย์กลางในการดำเนินธุรกิจของหัวเว่ยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หัวเว่ยยังได้เปิดศูนย์ OpenLab ในกรุงเทพมหานคร ศูนย์คลาวด์ ดาต้า รวมถึง 5G Testbed เป็นต้น ปัจจุบัน หัวเว่ยได้จ้างงานบุคลากรในประเทศไทยถึง 3,200 คน ซึ่งมีถึง 75 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นคนไทย โดยในปี 2561 การจัดซื้อจัดจ้างของหัวเว่ยในประเทศไทยคิดเป็นมูลค่าถึง 196 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

เร่งเครื่องนวัตกรรมการศึกษาด้านดิจิทัลในไทย
นายอาเบล เติ้ง ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและหัวเว่ย ประเทศไทย ภายใต้หัวข้อ “การอบรมส่งเสริมด้านทักษะดิจิทัลเพื่อนำไปสู่สังคมแห่งนวัตกรรมที่ยั่งยืน” ซึ่งหัวเว่ยจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการแบ่งปันและถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญ ผ่านการทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยและองค์กรต่างๆ ในอุตสาหกรรม เพื่อเสริมศักยภาพด้านไอซีทีให้แก่บุคลากรดิจิทัล พร้อมเร่งเครื่องนำประเทศไทยไปสู่ไทยแลนด์ 4.0
หัวเว่ยเตรียมเปิดตัว “หัวเว่ย อะเคเดมี” ในไทย
เป้าหมายของอะเคเดมี เพื่อเฟ้นหาและส่งเสริมบุคลากรที่มีทักษะด้านไอซีที พร้อมส่งเสริมให้ประเทศเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 และด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยอย่างคลาวด์ เอไอ และซูเปอร์คอมพิวติ้ง หัวเว่ยจะสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลได้ทั้งในส่วนขององค์กรภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม ช่วยส่งเสริมนวัตกรรมให้แก่บริษัทสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี บ่มเพาะให้เกิดอีโคซิสเต็มแห่งนวัตกรรมบนรากฐาน 5G และขับเคลื่อนความสามารถด้านนวัตกรรมของไทยจากระดับรากฐาน ทั้งนี้ เพื่อร่วมมือกันสร้างอีโคซิสเต็มของภาคอุตสาหกรรมเพื่อสังคมอัจฉริยะที่เชื่อมต่ออย่างไร้ที่ติในอนาคต
“เทคโนโลยี 5G จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาด้านเอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจะส่งเสริมการขับเคลื่อนไปข้างหน้าของประเทศไทยให้เร็วยิ่งขึ้นกว่าประเทศอื่นได้ โดย 5G คลาวด์และเอไอจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเราก็เคารพในความเป็นอธิปไตยด้านดิจิทัลของประเทศไทย ในการส่งเสริมนวัตกรรมให้แก่บริษัทสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี บ่มเพาะให้เกิดอีโคซิสเต็มแห่งนวัตกรรมผ่านแพลตฟอร์มระบบเปิดของหัวเว่ย เพื่อร่วมมือกันสร้างอีโคซิสเต็มของภาคอุตสาหกรรมเพื่อสังคมอัจฉริยะที่เชื่อมต่ออย่างไร้ที่ติในอนาคต” นายอาเบล เติ้ง กล่าวเสริม
สำหรับโซนจัดแสดงของหัวเว่ย ประเทศไทย ในงาน Thailand Digital Big Bang 2019 อยู่บนพื้นที่มากกว่า 400 ตารางเมตร จัดแสดงเป็น 5 โซนครอบคลุมทุกด้านที่เกี่ยวกับสมาร์ท อีโคซิสเต็มในประเทศไทยที่เชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน โดยจัดแสดงผลิตภัณฑ์ โซลูชั่น และบริการที่ครบวงจรของหัวเว่ย ไม่ว่าจะเป็น 5G, 5G อีโคซิสเต็ม, Smart City, Huawei Cloud และ Huawei Mobile
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญจากหัวเว่ยยังจะเข้าร่วมในการเสวนาหัวข้อต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย ครอบคลุมตั้งแต่เรื่อง 5G, Internet of Things ไปจนถึง Smart City, Cloud และ AI เรายังยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้พบปะกับผู้นำอุตสาหกรรมและพันธมิตรต่างๆ จากทั่วอาเซียน เพื่อให้เราได้สร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับการใช้ชีวิต การทำงาน และการเดินทางของทุกคน