สมาคมทีวีโฮมช้อปปิ้ง (ประเทศไทย) โดย “ทรูซีเล็คท์-ช้อปแชนแนล-โอ้ชอปปิ้ง-ทีวีดีช้อป-ไฮช้อปปิ้ง-ทีวีไดเร็ค” ชี้ภาพรวมธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้ง6 เดือนแรกปีนี้มีมูลค่าตลาดรวม7,351 ล้านบาทเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน12.11% ขณะที่แนวโน้มครึ่งปีหลังของปีนี้คาดมูลค่าตลาดรวมลดลงเหลือ6,983 ล้านบาท จากปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภคและปัจจัยผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทยอยคืนช่องมองภาพรวมทรนด์สินค้าเพื่อผู้สูงอายุผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและกลุ่มอาหารมาแรง
นายทรงพล ชัญมาตรกิจ นายกสมาคมทีวีโฮมชอปปิ้ง(ประเทศไทย) เปิดเผยว่าในปีที่ผ่านมา(2561) ภาพรวมธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่13,832 ล้านบาทเติบโตจากปีก่อนหน้า15.5% ปัจจัยมาจากมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดและผู้ประกอบการทีวีช่องอื่นๆที่เริ่มเข้ามาทำธุรกิจทางด้านนี้สะท้อนว่าธุรกิจทีวีช้อปปิ้งยังมีอนาคตที่ดีและมีกลุ่มลูกค้าที่เหนียวแน่นรวมถึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขยายตัวของธุรกิจอี-คอมเมิร์ชในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากจับกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้างแตกต่างกันเช่นอายุพื้นที่ในแต่ละภูมิภาคฯลฯ
อย่างไรก็ตามภาพรวมธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม– มิถุนายน2562) มีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงโดยมีมูลค่าตลาดรวม7,351 ล้านบาทเติบโต12.11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาโดยมูลค่าตลาดรวมดังกล่าวแบ่งเป็น ดังนี้ –ธุรกิจ“ทีวีช้อปปิ้ง” มูลค่าตลาด 4,243 ล้านบาท เติบโตประมาณ 8% –ธุรกิจ“โฮมช้อปปิ้ง” มีมูลค่าตลาด 3,107 ล้านบาท เติบโตประมาณ 14%
“ปัจจัยที่ตลาดเติบโตชะลอตัวมาจากภาพรวมเศรษฐกิจ ครึ่งปีแรกของปีนี้มีอัตราเติบโตลดลงส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้า“

ขณะที่แนวโน้มธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ (กรกฎาคม– ธันวาคม2562) สมาคมฯคาดการณ์จะมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ6,983 ล้านบาทลดลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากปัจจัยลบภายในและภายนอกส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคน่าจะยังไม่ฟื้นตัวนอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากการที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้ง7 ช่องทยอยคืนช่องแก่กสทช. ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีครัวเรือนที่ติดตั้งอุปกรณ์รับชมรายการโทรทัศน์ทั้งสิ้นประมาณ21.71 ล้านครัวเรือน (ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ98.1% จากทั้งหมด22.13 ล้านครัวเรือนขณะที่ “ทีวีดาวเทียม” เป็นช่องทางรับชมที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นโดยในปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการรับชมอยู่ที่53.26% เทียบกับปีก่อนอยู่ที่50.7% ขณะที่การรับชมทีวีดิจิทัลและเคเบิ้ลทีวีมีสัดส่วนลดลงเล็กน้อย

นายทรงพล กล่าวต่ออีกว่าปัจจุบันเทรนด์ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าทางทีวีช้อปปิ้งและโฮมช้อปปิ้งมีการเปลี่ยนแปลงไปโดยเป็นการผสมผสานกับระหว่าง Shopping Experience และ Shopping Journey ต้องการความสะดวกสบายรวดเร็วและตรงกับความต้องการเนื่องจากผู้บริโภคได้ยกระดับสู่การเป็นProsumer (Professional + Consumer) ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้นจึงมีการศึกษาข้อมูลสินค้าเปรียบเทียบราคาและโปรโมชั่นและต้องการเลือกซื้อสินค้าในช่องทางที่ได้ราคาที่ดีที่สุดขณะที่การเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ชและโซเชียลคอมเมิร์ชมองว่าเป็นผลบวกให้กับทีวีโฮมช้อปปิ้งเพราะถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ได้เจอ (White Space) โดยธุรกิจทีวีช้อปปิ้งมีฐานลูกค้าใหญ่คือกลุ่มBaby Boomer ที่เกิดในปี2489– 2507 และGen X ที่เกิดในปี2508 – 2522 ซึ่งยังมีพฤติกรรมรับชมทีวีเป็นสื่อหลักและกำลังปรับตัวเข้าสู่การสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามการขยายตัวของธุรกิจอี-คอมเมิร์ชและโซเชียลคอมเมิร์ชส่งผลดีต่อภาพรวมธุรกิจค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้านเนื่องจากผู้บริโภคกล้าทดลองสั่งซื้อโดยไม่ได้สัมผัสสินค้าส่งผลให้ผู้ประกอบการทีวีช้อปปิ้งมีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆนอกจากนี้การดำเนินธุรกิจทีวีช้อปปิ้งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานภาครัฐ เช่นสคบ. กสทช. ฯลฯส่งผลให้ไม่สามารถโฆษณาสรรพคุณสินค้าเกินจริงก็มีผลดีต่อความมั่นใจของผู้บริโภคต่อการเลือกซื้อสินค้าผ่านทีวีช้อปปิ้ง
ทั้งนี้สมาคมฯประเมินภาพรวมเทรนด์สินค้าซึ่งจะเป็นที่ต้องการในอนาคตได้แก่สินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้านวัตกรรมที่เหมาะกับผู้สูงอายุซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ของประเทศไทยจากสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(อีโค่โปรดักต์) ที่คาดว่าจะมีบทบาทต่อการดำเนินธุรกิจมากขึ้นรวมถึงกลุ่มสินค้าด้านอาหารที่กำลังเติบโตพร้อมกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์