หากยังจำกันได้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. นำโดยผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เคยออกมาส่งเสียงเตือนไปยังรัฐบาลว่าตั้งแต่ปี 2565 ที่ผ่านมาว่า การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงมากถึงสองงวดติดต่อกัน คือประจำงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 มาถึงประจำงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 คือ “วิกฤต ซ้อน วิกฤต” จะส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นราคาสินค้า เนื่องจากพลังงานเป็นต้นทุนหลักของภาคการผลิตและภาคบริการ
โดยเน้นย้ำว่าภาครัฐจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาค่าไฟสูง เพราะนอกจากจะกระทบต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ต้องแบกรับภาระค่าไฟสูงมากขึ้นเรื่อยๆ โดย กกร. ได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาแนวทางในการบรรเทาภาระผู้ประกอบการจากการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ครอบคลุม 5 ประเด็น ได้แก่
1. ตรึงราคาค่าไฟฟ้าในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย (เดือนมกราคม – เมษายน 2566) โดยต้องไม่ผลักภาระต้นทุนส่วนเพิ่มมาให้เป็นภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าส่วนที่เหลือ แต่ภาครัฐควรหางบประมาณจากส่วนอื่นมาช่วยเหลือกลุ่มบ้านอยู่อาศัยแทนและภาครัฐควรเจรจาลดค่า AP จากโรงไฟฟ้าเอกชนเป็นการชั่วคราวในช่วงวิกฤตพลังงานสูง
2. ขยายเพดานหนี้ 2 ปี ให้ กฟผ. ด้วยการเพิ่มเพดานเงินกู้เฉพาะกิจ จัดสรรวงเงินให้ยืม และชะลอการส่งเงินรายได้เข้าคลัง เนื่องจากภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่ กฟผ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ รับภาระแทนประชาชนไปก่อนนั้น เป็นการสมควรและอยู่ในวิสัยที่ภาครัฐจะบริหารจัดการให้ กฟผ. สามารถเพิ่มการรับภาระได้มากขึ้น และยาวนานขึ้นได้มากกว่า 2 ปี
3. ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า ประกอบด้วย 3.1 ขอให้มีการปรับค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) แบบขั้นบันได สำหรับผู้ใช้ไฟน้อย ก็จ่ายในอัตราที่ถูกกว่าผู้ที่ใช้ไฟเยอะ ให้จัดเก็บคนละอัตรา เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการ และการนำค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มครั้งนี้ มาหักค่าใช้จ่ายหรือลดหย่อนภาษีได้ 2-3 เท่า เพื่อแบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบการ และ 3.2 ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการปรับตัวหรือบริหารจัดการพลังงาน เช่น การปรับกระบวนการผลิตให้มาใช้ไฟฟ้าในช่วง Off-Peak มากขึ้น
4. เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางพลังงาน โดยไม่พึ่งพาจากแก๊สธรรมชาติมากเกินไป รัฐบาลควรส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกอื่นมากขึ้น โดยส่งเสริมการติดตั้ง Solar Cell เพื่อใช้เองให้มากขึ้น โดยเน้นการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นการชั่วคราวในช่วงวิกฤตพลังงาน และสามารถขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนเกิน กลับให้การไฟฟ้าด้วยการปลดล็อคเรื่องใบอนุญาต รง.4 ขยายกำลังไฟฟ้าเกิน 1 MW (แต่ไม่เกินกำลังไฟฟ้าปรกติเดิมที่เคยใช้) ลดภาษีนำเข้าของแผง Solar Cell และอุปกรณ์เช่น Inverter และอื่นๆ รวมทั้งพิจารณาระบบ Net metering สำหรับอุตสาหกรรมและบริการ
5. มีส่วนร่วมกับภาคเอกชนในด้านพลังงานให้มากขึ้น โดยเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านพลังงาน (กรอ. ด้านพลังงาน)
นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ภาครัฐได้ทบทวนสมมติฐานในการทำแผน PDP ใหม่ โดยลดสัดส่วนการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะในส่วนก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ต้องนำเข้า และไม่สามารถควบคุมต้นทุนได้ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะค่าไฟฟ้าสูงเช่นนี้ โดยเพิ่มสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งราคาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ประเภทที่ไม่มีเชื้อเพลิง ได้แก่ ลมและแสงอาทิตย์ จะมีราคาคงที่ตลอด 25 ปี เนื่องจากต้นทุนหลักมาจากค่าก่อสร้างแค่ในครั้งแรก ดังนั้น ค่าไฟฟ้าจึงสามารถกำหนดได้ในระยะยาวและคงที่อย่างแท้จริง และในปัจจุบันเทคโนโลยีได้ก้าวไปไกล ทำให้ต้นทุนการตั้งโรงไฟฟ้าทั้งลมและแสงอาทิตย์ มีราคาที่ถูกลง
ดังจะเห็นได้จากการรับซื้อไฟฟ้าในปัจจุบันของพลังงานหมุนเวียน ที่จะทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าในราคาเพียง 2.16 บาทต่อหน่วยสำหรับโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และ 3.1 บาทต่อหน่วยสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานลม หรือแม้แต่โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่มีแบตเตอรี่ เพื่อให้จ่ายไฟได้คงที่ตลอดช่วงเวลาที่ต้องการใช้ ก็มีราคารับซื้อเพียง 2.83 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะเห็นว่ามีราคาที่ถูกกว่าค่าไฟฟ้าขายปลีกในปัจจุบันอย่างมาก และที่สำคัญราคารับซื้อนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดอายุสัญญา 25 ปีแม้ว่าราคาพลังงานในโลกจะสูงหรือต่ำเพียงใดก็ตาม ประกอบกับการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น นอกจากประเทศไทยจะได้ใช้ไฟฟ้าที่มีราคาถูกแล้วยังตอบโจทย์ด้านความสะอาด และความเป็นกลางทางคาร์บอนอีกด้วย