“เศรษฐา” พบ “ไบเดน” บ่นเสียดายเวลาเจอกันน้อยไป
เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2566 ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการพบปะกับนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในระหว่างงานเลี้ยงรับรองผู้นำที่เข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ UNGA ครั้งที่ 78 ว่าบรรยากาศเป็นไปด้วยดีแต่ระยะเวลาพบกันสั้นไป

โดยได้มีการย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ามายาวนานกว่า 160 ปี ซึ่งนายไบเดน ได้แสดงความยินดีกับตนเอง ในฐานะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตนได้ยืนยันว่าจะเป็นคู่ค้า Trading partner ที่ดีต่อกัน และคาดว่าจะมีการหารือทวิภาคีร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายในการประชุม APEC ที่ซานฟรานซิสโก ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ จึงจะขอประชุมทวิภาคีร่วมกัน
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยด้วยว่ามีโอกาสพบปะผู้นำต่างประเทศหลายท่าน เช่น นายกรัฐมนตรีเอสโตเนีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้ามากเรื่อง E-Government โดยไทยติดต่อเพื่อเรียนรู้และขอให้ทางเอสโตเนียถ่ายทอดเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนทางราชการและลดการทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงได้พบกับ Prince Albert รองนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และได้หารือว่าหากมีโอกาสจะขออนุญาตไปเยือนสหราชอาณาจักร ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะไปนำเรียนนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ หวังว่าจะมีความคืบหน้าต่อไป นายกรัฐมนตรี เปิดเผยด้วยว่ามีโอกาสพบปะผู้นำต่างประเทศหลายท่าน เช่น นายกรัฐมนตรีเอสโตเนีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้ามากเรื่อง E-Government
โดยไทยติดต่อเพื่อเรียนรู้และขอให้ทางเอสโตเนียถ่ายทอดเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนทางราชการและลดการทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงได้พบกับ Prince Albert รองนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และได้หารือว่าหากมีโอกาสจะขออนุญาตไปเยือนสหราชอาณาจักร ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะไปนำเรียนนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ หวังว่าจะมีความคืบหน้าต่อไป
“เศรษฐา” คุย ปธน.เกาหลีใต้ มุ่งพัฒนาความสัมพันธ์สองประเทศมากขึ้น
ยุน ซ็อก ย็อล (Mr. Yoon Suk Yeol) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ได้พบหารือทวิภาคี กับเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 78 (UNGA78) โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นาย ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญดังนี้

นายกรัฐมนตรียินดีที่มีโอกาสได้พบกับประธานาธิบดีฯ อย่างเป็นทางการครั้งแรก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐเกาหลีมีความใกล้ชิดกันอย่างมาก โดยเฉพาะระดับประชาชน ความนิยมวัฒนธรรมระหว่างประชาชนไทยและประชาชนเกาหลี โดยในปีนี้จะครบครอบ 65 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเกาหลีอีกด้วย
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ด้านการเมือง ทั้งไทยและสาธารณรัฐเกาหลี ต่างต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ และได้เชิญประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีและภริยาเดินทางเยือนไทย
ส่วนเรื่องเศรษฐกิจทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันเร่งรัดผลักดันการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement: EPA) ระหว่างกัน และได้หารือแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในสาขาต่าง ๆ อาทิ ซอฟต์พาวเวอร์ อวกาศ พลังงานนิวเคลียร์สตาร์ทอัพ ยานยนต์ไฟฟ้า ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักลงทุนเกาหลีเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยรัฐบาลพร้อมช่วยอำนวยความสะดวกการลงทุนดังกล่าว รวมทั้งเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเกาหลีเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นอีกด้วย
“ปิยะบุตร” อัด “ก้าวไกล” เงียบเกินไปปม “ช่อ” ถูกตัดสิทธิ์การเมือง
ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีศาลฎีกามีคำพิพากษาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของ พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ฐานฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ว่า ทราบข่าวกรณีคุณช่อ พรรณิการ์ วานิช ตั้งแต่บ่ายสามแล้ว แต่จงใจยังไม่แสดงความเห็นใดๆ เพราะอยากรอดูว่าพรรคก้าวไกลจะมีการสื่อสารแบบเป็นทางการออกมาบ้างหรือไม่ แต่จนถึงตอนนี้ ไม่มีเลย พบเห็นแค่มี ส.ส.บางคนแสดงความไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง แต่ไม่มีการแถลงหรือวิจารณ์ใดๆออกจากพรรคก้าวไกลแม้แต่น้อย

ปิยบุตร ระบุว่า อย่าใช้เหตุผลนะครับว่า คุณช่อไม่ใช่สมาชิกพรรคก้าวไกล นั่นคนละเรื่องเลย พรรคการเมืองสามารถแสดงความเห็นได้อยู่แล้ว ยังไม่นับว่าคุณช่อเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกลด้วย ในขณะที่ ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล และผู้สนับสนุนพรรคอื่น ยังแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างกว้างขวาง แต่พรรคก้าวไกลกลับ “เงียบกริบ” เงียบจนผมรู้สึกว่า “ไร้น้ำใจ” กับพรรณิการ์ วานิช จนเกินไป
ในเมื่อพรรคก้าวไกลไม่พูดอะไรเลย ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวตนเองจะแถลงวิจารณ์คดีนี้เอง วันสองวันนี้ จะไลฟ์ อรรถาธิบายทั้งหมด
“พรรณิการ์” โพสต์สู้ต่อแม้โดนตัดสิทธิ์เลือกตั้ง พร้อมเดินต่องานการเมือง
พรรณิการ์ วานิช (ช่อ)อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ถูกศาลฎีกาพิพากษาว่า มีความผิดฐานฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กพาดพิงเบื้องสูง โดยถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป ไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนั้น

ล่าสุด พรรณิการ์ วานิช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและความเป็นห่วงจากทุก ๆ ช่องทางค่ะ คำพิพากษาศาลในวันนี้ เป็นการตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง หมายความว่า ลงสมัคร สส. หรือแข่งขันการเลือกตั้งทุกระดับไม่ได้ รับตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้ แต่สำหรับงานการเมืองที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่มีใครมาพรากสิทธิไปจากช่อได้
ทุกอย่างจึงยังเหมือนเดิมทุกประการ ภารกิจการเมืองของช่อในนามคณะก้าวหน้า ยังดำเนินต่อไป รวมถึงการเป็นผู้ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราเดินทางมาไกลขนาดนี้ จะไม่หยุดเดินกลางคันจนกว่าจะถึงเส้นชัย ตัวเราอยู่ตรงไหน ตำแหน่งใด ไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งสำคัญคือประเทศไปได้ไกลแค่ไหนต่างหาก
ปล. คดีนี้เกิดจากโพสต์เฟซบุ๊กของช่อตั้งแต่สมัยก่อนเป็น สส. มีการดำเนินคดีทั้งคดีอาญา ข้อหาผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และคดีจริยธรรมนักการเมือง
“มัลลิกา” ลาออกพรรคประชาธิปัตย์ขอไปใช้ชีวิตส่วนตัว
มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ประกาศลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเว้นวรรคทางการเมือง โดยให้เหตุผลในการไปใช้ชีวิตส่วนตัว โดยประกาศเมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา ช่วงการจัดรายการไลฟ์สดในติ๊กต๊อก tiktok live ช่องทางของ Account ชื่อว่า mallikaboon

ขณะเดียวกันยังคงดำรงพื้นที่สาธารณะไว้เพียงช่องทางสื่อสารใน Account แพลตฟอร์ม TikTok ในชื่อว่า mallikaboon จัดเป็นรูปแบบรายการวาไรตี้ทอล์คโชว์ประจำทุกค่ำคืน และมีผู้ติดตาม 1.18 แสนคน และ 1.5 ล้านวิวในโปรไฟล์
ฃโดยมัลลิกา มีจัดรายการถ่ายทอดสดเกือบทุกคืนหลังเวลา 20.00 น.ถือว่าเป็นรูปแบบใหม่ของการจัดรายการตามความถนัดและมีผู้ติดตามประจำจำนวนมาก