หลังจากที่ อริยะ พนมยงค์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ ของ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือช่อง 3 เมื่อวานนี้ คงต้องจับตาดูว่า อนาคตของช่อง 3 ต่อจากนี้จะไปในทิศทางใด ใครจะเข้ามากุมบังเหียน และจากวิกฤติรายได้ถดถอยของทีวีดิจิทัลรวมถึงโควิด-19 ในปีนี้ ช่อง 3 จะกลับกำไรอีกครั้งได้หรือไม่หลังขาดทุนมา 2 ปีติดต่อกัน
1 ปี “อริยะ พนมยงค์” ทรานส์ฟอร์มช่อง 3
ภารกิจหลักตลอด 1 ปี ของ อริยะ กับการมาอยู่ช่อง 3 ที่เห็นได้ชัดเจนคือ การเข้ามาทำทรานส์ฟอร์เมชั่น หรือปรับรูปแบบองค์กร ช่อง 3 ใหม่ โดยอาศัยประสบการณ์จากการที่เคยอยู่ในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google และ LINE ประเทศไทย มาปรับใช้
สิ่งแรกที่ อริยะ เริ่มทำและเห็นเป็นรูปธรรมอย่างแรกคือ “ลีนองค์กร” ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจัดทัพทีมข่าวช่อง 3 ใหม่ เพราะเป็นฝ่ายที่ไขมันเยอะที่สุด โดยการเลย์ออฟพนักงานฝ่ายข่าวบางส่วนและปรับรูปแบบการทำงานของฝ่ายใหม่
ในเวลาเดียวกันได้วางแผนปรับรูปแบบธุรกิจช่อง 3 ทั้ง หน้าจอทีวีและออนไลน์ วางแผนให้ช่อง 3 เป็นธุรกิจคอนเทนต์ (Content Provider) รุกขายคอนเทนต์ไปต่างประเทศ จับมือพาร์ทเนอร์ออนไลน์ สปอนเซอร์ชิป และโฮมช้อปปิ้ง ซึ่งเคยวางแผนไว้ระยะยาวถึง 4 ปี เพิ่มรายได้ของกลุ่มนี้เป็น ร้อยละ 35 ของรายได้
ผลงานล่าสุดเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ช่อง 3 รีแบรนด์ Mello.me ใหม่เป็น Ch3+ โดยหวังจะสร้างให้เป็น One Stop Service คือ มีทั้งละคร ข่าว และวาไรตี้ ซึ่งยังเป็นที่กังขาว่าทำไมไม่รวม ch3thailand เข้าไปด้วย
ทว่าการเข้ามาปรับองค์กรในระดับช่อง 3 ที่ตลาดทีวีดิจิทัลอยู่ในขาลงและรายได้หลักของช่อง 3 ยังมาจากค่าโฆษณาทีวีร้อยละ 83 นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้าย้อนกลับมาดูรายได้รวมปี 2562 จะเห็นว่า ช่อง 3 มีรายได้อยู่ที่ 8,779.64 ล้านบาท ขาดทุน 397.17 ล้านบาท แต่ถ้าไม่นับที่กำไรขาดทุน จะเห็นว่า ช่อง 3 มีรายได้รวมลดลงจากปี 2561 ถึง 1724.45 ล้านบาท
“ถึงแม้ว่าหากช่อง 13 และ 28 จะไม่ได้ยุติออกอากาศไปในวันที่ 30 กันยายน 2562 ช่อง 3 ทั้ง 3 ช่อง ก็ยังไม่น่าจะทำรายได้รวมได้มากกว่าปี 2561”
ช่อง 3 ยังคงชูจุดเด่นที่ “คน”
แน่นอนว่า ช่อง 3 ชูจุดเด่นที่ตัวคน มาตลอดหลายปี ทั้งศิลปิน ดารา และผู้ประกาศข่าว ช่อง 3 เคยทำให้คนนั่งดูละครหลังข่าวได้ทุกเรื่องใน 7 วัน และขายโฆษณาได้เต็มมาตลอด แต่หลังจากทีวีดิจิทัลช่องอื่นเริ่มตั้งตัวได้ รวมถึงโลกออนไลน์ที่เปลี่ยนไปมากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้ช่อง 3 ขายของแบบเดิมแต่ไม่ได้มูลค่าเท่าเดิมอีกต่อไป
ต้องยอมรับว่าในรอบ 3 ปี หลังมานี้ ช่อง 3 มีละครที่เป็นกระแสจริง ๆ น้อยมาก ดาราตัวแม่เหล็กกว่าจะมีละครแต่ละเรื่องก็ต้องรอกันเป็นปี ต่างจากช่อง 7 ที่ดันดาราแม่เหล็กออกมาแสดงละครได้มากกว่า มีคู่แข่งอย่างช่อง One 31 คู่แข่งบ้านใกล้ที่เข้ามาแย่งผู้ชมคนเมืองไปอีก โดยทำละครที่โดนใจคนรุ่นใหม่ เน้นการสร้างกระแสในโลกโซเชียล
รวมถึงคอนเทนต์จากแพลต์ฟอร์ม OTT (Over-The-Top) อย่าง LINE TV, WeTv หรือ Netflix ที่สร้างกระแสได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะหลัง
ในขณะที่คู่แข่งต่างเปิดศึกแย่งคนดูที่อายุน้อย และเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น ทั้งหน้าจอและออนไลน์ แต่ช่อง 3 ยังคงสไตล์การทำละครในรูปแบบเดิมเจาะลูกค้ากลุ่มเดิมเพื่อฉายผ่านทีวี และทำละครที่จับตลาดคนรุ่นใหม่ในช่องทางออนไลน์ของตัวเองอย่าง Ch3+
ด้านข่าว ช่อง 3 ยังคงเป็นช่องที่มีพิธีกรข่าวชื่อดังมากที่สุดในประเทศไทย แต่ต้องบอกว่าเหนื่อยเหมือนกัน เมื่อข่าวมีคู่แข่งมากกว่าละครเสียอีก เพราะนอกจากจะมีคู่แข่งทางทีวีอย่าง ไทยรัฐทีวี, One 31 และ อมรินทร์ทีวี ยังมีเพจข่าวในโซเชียลมีเดียที่ผุดกันขึ้นมายิ่งกว่าดอกเห็ด ทำให้คนรู้ข่าวโดยไม่ต้องติดตามผ่านทีวีอีกต่อไป
วาไรตี้ เนื่องจากช่อง 3 ไม่ได้ผลิตรายการวาไรตี้เองจึงทำได้แค่ขายโฆษณาในทีวี ต่างจากคู่แข่งอย่าง ช่องเวิร์คพอยท์ หรือ One 31 ที่ผลิตเองและทำตลาดได้เองทั้งบนทีวีและออนไลน์
ฤา “ประวิทย์ มาลีนนท์” จะคืนบัลลังก์?
จากการลาออกจากกรรมการบริษัทของ ประชุม มาลีนนท์ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ยังไม่มีวี่แววแต่งตั้งใครมาแทน ต่อด้วยการลาออกของ อริยะ พนมยงค์ และคนสนิทที่ชวนมาด้วยกัน ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน เป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่
ถ้าใครได้ดูรายการพิเศษช่อง 3 ครบรอบ 50 ปี จะเห็นว่ามี นายประวิทย์ มาลีนนท์ อยู่ในรายการด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับตำแหน่งใด ๆ ของช่อง 3 แล้วก็ตาม แต่กลับไม่ปรากฏผู้บริหารชุดที่ลาออกไปอยู่ในรายการ และช่อง 3 เองก็ไม่ได้พูดถึงชื่อของผู้บริหารชุดปัจจุบันไปร่วมงานเลยแม้แต่น้อย
คงต้องรอดูกันว่า ประวิทย์ มาลีนนท์ จะกลับมากุมบังเหียนอีกครั้ง หรือจะเป็นคนอื่นในตระกูลมาลีนนท์ หรือจะเลือกคนนอกที่เข้าใจธุรกิจทีวีและออนไลน์เข้ามาบริหารอีกครั้งหนึ่ง
และสุดท้าย ในยุคที่ทีวีดิจิทัลที่คนค่อย ๆ หายจากหน้าจอไป เหมือนกับยุคเปลี่ยนผ่านกล้องฟิล์มสู่กล้องดิจิทัล ทิศทาง ช่อง 3 หลังจากเปลี่ยนผู้นำคนใหม่จะเป็นอย่างไร จะยังดำเนินงานตามแผนที่ อริยะ พนมยงค์ ได้เริ่มสร้างไว้ต่อไปหรือไม่? หรือจะรื้อแผนปรับใหม่อีกรอบ? ต้องมาดูกัน
