ราคาทองพุ่งขึ้นในตลาดเอเชียช่วงเช้าสันศุกร์ถึง 15.40 ดอลลาร์แตะระดับ 1,441.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์โดยเป็นการเคลื่อนไหวต่อเนื่องจากราคาทองตลาดนิวยอร์กปิดบวกที่ระดับ 1.428 ดอลลาร์สูงสุดในรอบ 6 ปีนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2013
โดยราคาทองเริ่มสวนทางกับทิศทางของเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ซึ่งทำให้ทองเป็นสินทรัพย์ที่ดีงดูดนักลงทุนเพิ่มเติมหลังจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีทและตลาดหุ้นทั่วโลก ที่เฝ้ารอคอยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินใสช่วงวันที่ 30-31 กรกฎาคมนี้
ราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวอย่างโดดเด่นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยสามารถให้ผลตอบแทนราคาที่เพิ่มขึ้น 6.06% เป็นการเพิ่มขึ้น 81.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากระดับราคา 1.359.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์
และเป็นการให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็นเลข 2 หลักในระยะกลางช่วง 6 เดิอน และ 1 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ราคาทองได้เพิ่มขึ้น 144.80 ดอลลาร์ หรือ 11.3เ% ในช่วง 6 เดือน และเพิ่มขึ้น 196.60 ดอลลาร์ หรือ 15.99%ในช่วง 1 ปี
สำหรับการลงทุนในระยะยาวนั้น ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ถึงแม้ว่าจะอ่อนตัวลงในระยะ 5 ปีซึ่งราคาทองเพิ่มขึ้น 120 ดอลลาร์ หรือ 9.19% แต่ถ้าเป็นการลงทุนในระยะ 20 ปีแล้ว ราคาทองปรับตัวขึ้นถึง 1,173 ดอลลาร์ หรือ 454.26%
ก่อนหน้านี้ มีนักวิเคราะห์ด้านทองคำ คาดการณ์ว่า ราคาทองจะปรับเพิ่มขึ้นถึง 1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากปัจจัยความเสี่ยงของสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ค่าเงิน และอัตราดอกเบี้ยที่อ่อนตัวลงในช่วงครึ่งหลังปีนี้
ทั้งนี้ มุมมองนักวิเคราะห์ยังเชื่อว่า ราคาทองอาจจะดีดตัวทะลุถึงระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกตรั้ง หลังจากที่เคยพุ่งแตะระดับ 1,895 ดอลลาร์ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเมื่อปี 2011
นอกจากนี้ ความตึงเครียดในอ่าวเปอร์เชียที่ร้อนแรงขึ้น จนกลายเป็นจุด Hot Spot ที่นักลงทุนทั่วโลกจับจ้องในขณะนี้ จากข่าวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แถลงถึงการที่เรือรบของสหรัฐได้ยิงโดรนของอิหร่านตกที่ช่องแคบฮอร์มุซในอ่าวเปอร์เชีย หลังจากที่ได้คุกคามเรือรบของสหรัฐ
โดยเรือรบ USS Boxer ของกองทัพเรือสหรัฐ ได้ยิงทำลายโดรนของอิหร่าน ที่บินห่างจากเรือรบสหรัฐภายในระยะ 1,000 หลา และไม่สนใจคำเตือนหลายครั้งของสหรัฐ ซึ่งสหรัฐได้ถือว่า การยิงโดรนดังกล่าวนั้นเป็นการป้องกันตัว
อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดในอ่าวเปอร์เชีย ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันมากนัก โดยที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดร่วงลงเมื่อคืนวันพฤหัสฯ ที่ระดับราคา 1.48 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ที่ 55.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 1.73 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 61.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา
ทางด้านตลาดหุ้นหลักของเอเชียทั้งดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่น พุ่งขึ้น 347.99 จุด หรือ 1.65% ในช่วงเช้าวันศุกร์ ขณะที่ดัชนีหั่งเส็ง ฮ่องกง เพิ่มขึ้น 310.80 จุด หรือ1.09% รวมทั้งดัชนีหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้น 12.22 จุด หรือ 0.71% แตะระดับ 1,735
ท่ามกลางตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่ทรงตัวบวกเล็กน้อย โดยที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดในวันพฤหัสฯ ที่ 27,222 เพิ่มขึ้น 3.12 จุด หรือ 0.01% ดัชนี S& ปิดที่ 2,995 เพิ่มขึ้น 10.69 จุด หรือ 0.36% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,207 เพิ่มขึ้น 22.04 จุด หรือ 0.27%