“เศรษฐา” ลั่นไทยพร้อมลงทุนเชื่อมเส้นทางคมนาคมกับจีน
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ร่วมงาน Thailand-China Investment Forum ที่โรงแรมเคอร์รี่ โดยได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงที่ห้างสยามพารากอน และขอให้เชื่อมั่น ตนได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้ไทยเป็นจุดหมายที่ปลอดภัย เป็นมิตรกับทุกคนที่มาเยือน และการเดินทางมาจีนครั้งนี้ มีความยินดีอย่างยิ่ง ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ไทยและจีนมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานทั้งด้านเศรษฐกิจสังคม มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำระดับสูงมาตลอด ที่สำคัญคือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของพระบรมวงศานุวงศ์ของไทย แสดงให้เห็นความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ

นายกฯ กล่าวว่า เมื่อปีที่ผ่านมา ไทยและจีนครบรอบ 10 ปี ความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามและประกาศใช้แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย – จีน ฉบับที่ 4 (ปี 2022 – 2026) และแผนความร่วมมือระหว่างไทย – จีน ว่าด้วยการร่วมกันส่งเสริมเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมและเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ การประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ครั้งที่ 3 ซึ่งข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI) เป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในหลากหลายมิติทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และด้านวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในกลุ่มอาเซียน
นายกฯ กล่าวว่า ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเชียน เชื่อมต่อเส้นทางภายใต้ BRI ทั้งบกและทะเล จึงตระหนักถึงโอกาสในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างประเทศไทยกับจีน รัฐบาลไทยมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบเพื่อเพิ่มโอกาสด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว จะยกระดับระบบคมนาคมขนส่งของไทย ก่อให้เกิดการกระจายความเจริญไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ
นายเศรษฐา กล่าวว่า ในระดับภูมิภาคจีนและไทยได้ลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งมีอาเชียน 10 ประเทศ และประเทศนอกอาเชียนอีก 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ความตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาการค้าขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมประมาณร้อยละ 30 ของ GDP โลก ซึ่งจะทำให้ไทยได้รับสิทธิ ยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรศุลกากร ดังนั้น การเข้ามาทำการค้าการลงทุนกับประเทศไทยจึงเป็นโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากความตกลงดังกล่าว นอกจากความตกลง RCEP แล้ว จีนและไทยมีกรอบความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – จีน ซึ่งส่งผลให้ภาษีสินค้านำเข้าเป็น 0 มากกว่าร้อยละ 90 ของรายการสินค้าทั้งหมด โดยตั้งเป้าในการปิดตลาดสินค้าเพิ่มเติมในหมวดสินค้าอ่อนไหว รวมถึงการเปิดเสรีและคุ้มครองการลงทุน คาดว่าการเจรจาจะแล้วเสร็จในปี 2024 เพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจไปสู่การเป็นฐานการผลิตและตลาดเดียวกัน อันจะนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น
“เพื่อไทย” โต้ “ก้าวไกล” นายกฯอยู่ต่างประเทศไม่ได้หนีตอบกระทู้สภาฯ
ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาฯ มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม เกิดการโต้คารมกัน ระหว่าง พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ระหว่างการพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา ของปิยรัฐ จงเทพ อยู่ต่างประเทศ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ถาม นายกฯ ประเด็นบ่อนการพนันในตลาดตลาดพื้นที่เขตบางนา เนื่องจาก นายวันมูหะมัดนอร์ แจ้งเรื่อง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

มีหนังสือแจ้งว่า กระทู้ถามเรื่องนี้ นายกฯ มอบหมายให้ รมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้แทน และรมว.มหาดไทย มอบให้นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย มาตอบ แต่ รมช.มหาดไทย ติดภารกิจสำคัญ ไม่สามารถมาตอบได้ จึงขอเลื่อนการตอบกระทู้ถามนี้ออกไปก่อน ทำให้ นายปิยรัฐ ลุกท้วงติง ว่า นายกฯ เลื่อนตอบกระทู้หลายรอบแล้ว เสียโควตาการตั้งกระทู้สภาฯ ปรึกษาประธานสภาฯ ว่า ครั้งหน้า นายกฯ จะมาได้หรือไม่ หรือประธานสภาฯ ได้มีการทำหนังสือท้วงติง นายกฯ หรือไม่ นายกฯ ต้องชี้แจงด้วย ทำไมวันนี้ต้องเลื่อน และมาไม่ได้ แล้วดูมอบรัฐมนตรี รัฐมนตรีมอบรัฐมนตรีช่วย ยังไม่มีใครมาตอบเลย แบ่งกันเป็นแชร์ลูกโซ่แบบนี้หรืออย่างไร
ด้าน ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ลุกโต้ทันที ว่า ทราบก็ทราบ ข่าวก็ออกทุกสื่อว่านายกฯ ไปต่างประเทศ และมอบหมายมาแล้ว ไม่ทราบจะพาดพิงทำอะไร ขณะที่นายปิยรัฐ สวนว่า เรื่องกระทู้ เข้าใจว่า นายกฯ อาจจะไม่สะดวกบางสัปดาห์ แต่ไม่ใช่มอบหมายคนที่มาไม่ได้อยู่แล้ว นี่ก็ไม่ใช่ ถึงขนาด รมช.ยังมาไม่ได้ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว หรือมีส่วนได้เสียอย่างไร กับเรื่องที่ตนจะตั้งกระทู้หรือเปล่าอย่างไรก็ตามจากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ พยายามไกล่เกลี่ยว่า คราวนี้นายกฯ ไม่อยู่จริงๆ พร้อมกับให้ดำเนินการประชุม ตามญัตติต่อไป
“พิชัย” มั่นใจเงินดิจิทัลช่วยปลุกความเชื่อมั่นประชาชน สร้างกระแสบวกให้รัฐบาล
พิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเสียง วิพากษ์วิจารณ์ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ว่า อยากให้มองอนาคตภาพรวมปัญหาเศรษฐกิจของโลกที่กำลังจะแย่ และจากการเกิดปัญหาเศรษฐกิจกับจีน ที่มองว่า จะมีการถดถอย ไม่แตกต่างจากสหรัฐอเมริกาที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั้งโลก ส่วนการสู้รบในอิสราเอล รวมถึงรัสเซียและยูเครน ก็จะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ดังนั้นหากมีวิสัยทัศน์ที่ไกล อีกไม่กี่เดือน จะมีปัญหาเกิดขึ้น

หากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตออกมา ในจังหวะพอดีช่วงเศรษฐกิจโลกเกิดปัญหา ตนเองมองว่าจะช่วยประคองเศรษฐกิจไทยไปได้ ซึ่งอยากเห็นเศรษฐกิจไทยโตร้อยละ 5 ทั้งนี้ ตามหลักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ถ้ามีเม็ดเงินจากข้างนอกเข้ามาจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นบางส่วนอาจจะเป็นเงินงบประมาณเดิม บางส่วนเป็นเงินนอกงบประมาณ
ส่วนแนวโน้มออก พ.ร.ก.กู้เงินมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นั้น นายพิชัย กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ทราบต้องสอบถามจาก นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ดูแลโครงการนี้โดยตรง แต่ตามหลักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป หากนำเงินเก่ามาใช้จะไม่เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องใช้เงินจากข้างนอกและข้างในมาช่วย เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัว เพราะใช้เงินเก่าไม่กระตุ้นต้องใช้เงินใหม่ ทั้งนี้ หากมอง 5 เดือน ย้อนหลัง พบว่า เงินเฟ้อในประเทศไทยต่ำมาก พอเพียงร้อยละ 0.2-0.8 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดี ในขณะที่ทั่วโลกอย่างสหรัฐอเมริกา โตขึ้นร้อยละ 3-4 ส่วนที่ยุโรปโตขึ้น ร้อยละ 5-6 เช่นเดียวกับอังกฤษ นั่นหมายความว่ากำลังซื้อ ของคนไทยกำลังหด เหมือนจีนที่กำลังซื้อติดลบ นั่นหมายความว่า คนไม่มีปัญญาซื้อ แม้จะมีการลดราคาของแต่คนก็ไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งเป็นปัญหา ดังนั้นจึงต้องมีโครงการต่างๆ เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะมีการอัดฉีดเงินในระบบไหนก็ตาม จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต้องดูที่ภาพใหญ่ ตามหลักการของพรรคเพื่อไทยคือคิดใหญ่ทำเป็น
“จุรินทร์” เตรียมซักฟอกรัฐบาลเงินดิจิทัล ปม “โทเคน”
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีวาระญัตติให้พิจารณานโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทซึ่งกมธ.เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าชี้แจงว่า เท่าที่รับทราบจะมีตัวแทนจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ทั้งนี้ในที่ประชุมจะตั้งคำถามทั้งประเด็นการดำเนินนโยบายเงินดิจิทัลอย่างไร จะเอาเงินจากไหน และจะทำอย่างไร โดยไม่กู้ จนวันนี้ยังไม่มีคำตอบจากรัฐบาล ยังมีความคลุมเครือ ไม่มีความชัดเจน
ส่วนความกังวลว่า การแจกเงินเป็นโทเคน อาจเอื้อประโยชน์ให้ผู้ทำธุรกิจด้านดิจิทัล และมีการฟอกเอาเงินดำไปแปลงเป็นเงินขาว นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนเองจะไม่ด่วนวิจารณ์ เพราะยังไม่เกิดความชัดเจน แต่เป็นสิทธิของผู้ที่มีความรู้ และสิทธิของคนไทยที่จะตั้งข้อสังเกต และติดตามได้ เพราะเป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศ และเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องรับฟัง สิ่งที่กังวลที่สุดคือ ความไม่ชัดเจนตั้งแต่ต้น ถ้าเป็นนโยบายสำคัญก็ต้องชัดเจนตั้งแต่วันหาเสียงแล้ว
“ศรีสุวรรณ” ยื่นกระทรวงยุติธรรม สอบราชทัณฑ์ปม “กำไล EM”
ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ตามที่กรมราชทัณฑ์โดยคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยลดวันต้องโทษจำคุก ได้เห็นชอบอนุมัติให้ปล่อยตัวลดวันต้องโทษจำคุกเพื่อคุมความประพฤติ เปรมชัย กรรณสูต ตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. 2566 และจะพ้นโทษในวันที่ 7 ธ.ค. 2566 โดยไม่ต้องติดกำไล EM โดยอ้างว่า เปรมชัย มีปัญหาด้านสุขภาพ ตรงบริเวณข้อเท้าที่เคยถูกคว้านเนื้อที่ตายจากอาการเบาหวานลงขา เพราะป่วยเป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมได้ยาก และหากให้อุปกรณ์ดังกล่าว จะมีการเสียดสีจนเกิดบาดแผลที่รุนแรงขึ้นอีก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการบำบัดรักษาในกรณีฉุกเฉินนั้น

เมื่อตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่า ปัญหาของการไม่ติดกำไล EM น่าจะเป็นเพราะกำไลดังกล่าวกระทรวงยุติธรรมในสมัยที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีจัดซื้อจัดหาในปี 63 โดยการปละมูลเช่ามา 30,000 ตัวมูลค่า 849 ล้านนั้นเป็นกำไลรุ่นเก่าโบราณ ใหญ่เทอะทะมาก และมีประสิทธิภาพต่ำมาก เข้าอุโมงค์หรืออยู่ในน้ำลึกเครื่องจะไม่ทำงานเลย ทั้งๆที่ในขณะนั้นมีกำไลรุ่นใหม่มีขนาดเล็ก กะทัดรัด เหมือนนาฬิกา Smart Watch มีประสิทธิภาพสูง อยู่ในอุโมงค์หรือในน้ำลึกได้ แถมราคาถูกมาก คือซื้อขายกันตัวละเพียง 7,700 บาท แต่ถ้าซื้อมากเหลือเพียงตัวละ 2,500 บาทเท่านั้น
ด้วยเหตุดังกล่าว องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จะเดินทางไปยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานข้อมูลต่อ พล.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เพื่อให้ตั้งกรรมการสอบการจัดซื้อจัดหากำไล EM รุ่นเก่าดังกล่าวทั้งระบบ เพื่อลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป และควรต้องยกเลิกการจะเช่าต่อในเฟส 2 ต่อไปด้วย โดยจะไปยื่นคำร้องในวันศุกร์ที่ 20 ต.ค. 2566 เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม ถ.แจ้งวัฒนะ