HomeBT Newsนักวิเคราะห์-เซียนหุ้น เจาะ mai เฟ้นหุ้นเด่น10เด้ง

นักวิเคราะห์-เซียนหุ้น เจาะ mai เฟ้นหุ้นเด่น10เด้ง

Money Talk วิเคราะห์หุ้นเด่น ให้ผลกำไร น่าจับตาในตลาด mai ย้ำให้ประชาชนมองโมเดลธุรกิจ แม้เป็นตลาดเล็กก็อาจให้ผลตอบเทนสูง แนะนักลงทุนมองให้ระวังหุ้น IPO เนื่องจาก 7 ใน 10 ตัวอาจไม่เป็นตามที่วางแผนไว้

ตลาดหลักทรัพย์จัดสัมมนาในหัวข้อ “เฟ้นหุ้นเด่น 10 เด้ง mai” โดย อนุรักษ์ บุญแสวง (โจ ลูกอีสาน) นักลงทุน VI , ทิวา ชินธาดาพงศ์  นักลงทุน VI , วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ , เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ดำเนินรายการโดย ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ในงาน “mai FORUM 2019 : มหกรรมรวมพลังคน mai ครั้งที่ 6” ที่ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ เริ่มต้นมองตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนดี ทั้งไทยและสหรัฐ ขณะที่ตลาดทองคำ รวมถึงตลาดอื่นๆให้ผลตอบแทนดีเกินร้อยละ 10 ขึ้นไป เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยลดลงทำให้หุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น

- Advertisement -

ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปถ้าหากนำเงินไปฝากธนาคารจะเสียค่าฝากเพิ่มมากขึ้น โดยเชื่อว่าธนาคารกลางยุโรปจะปรับดอกเบี้ยขึ้นมาเป็นบวกในอีก 4 ปีข้างหน้าเช่นเดียวกับธนาคารกลางญี่ปุ่น ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ก็มีโอกาสที่จะปรับลดดอกเบี้ยในการฝากลงเนื่องจากเป็นมาตรการในการลดการแข็งค่าของเงินบาท

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บมจ. หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จากแนวโน้มดังกล่าวเชื่อว่าปีหน้าตลาดหุ้นจะขึ้นไปสูงถึง 1,800 จุดและอาจพุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 1,900 จุดและจะสัมพันธ์ตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงปลายปีหน้า

อนุรักษ์ บุญแสวง (โจ ลูกอีสาน) นักลงทุน VI ระบุว่า ปัจจุบันถือหุ้นไทยอยู่ถึง 50 ตัว และเป็น mai ประมาณ 10 ตัว จากการสังเกตุพบว่าครึ่งปีที่ผ่านมา นักลงทุนมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มมากขึ้น เนื่องจากภาวะตลาดเพื่อให้ส่งผลกำไรเนื่องจากเมื่อปีที่ผ่านมา ตลาดมีการปรับตัวลง

ส่วนตัวไม่ได้สังเกตว่าหุ้นดังกล่าวไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ใหญ่ (SET)หรืออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ย่อย(mai) แต่การสังเกตตัวไหนว่าจะดีหรือไม่ดี ต้องดูผลประกอบการและทิศทางที่จะเติบโตเพิ่มมากขึ้นจึงจะตัดสินใจเลือกซื้อหุ้นตัวนั้นๆ

“ต้องยอมรับว่าปัจจุบันสำหรับคนที่ต้องการที่จะให้หุ้นที่ตนเองถือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าหรือที่นักลงทุนบางรายเรียกว่าสิบเด้งหากนำมาคำนวณดูจะพบว่า 1 ปีจะต้องทำกำไรให้ได้อยู่ที่ร้อยละ 26 ซึ่งในอดีตถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายในอดีตแต่ปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร”

ทิวา ชินธาดาพงศ์  นักลงทุน VI อีกคน มองเช่นเดียวกันว่าไม่ได้มองว่าหุ้นตัวนั้นน่าจะอยู่ใน SET หรือ Mai ซึ่งในสมัยก่อนให้ผลตอบรับและเพิ่มมูลค่าเพิ่มขึ้น 10 ถึง 15 เท่าถือว่าเป็นหุ้นแพงและหุ้นที่เพิ่มมูลค่ามากขึ้น 4-5 เท่าถือว่าเป็นหุ้นถูก

หากจุดเริ่มต้นสามารถที่จะซื้อหุ้นตัวนั้นๆในราคาที่ถูกก็มีโอกาสที่หุ้นจะเพิ่มมูลค่าได้สูงเพิ่มขึ้น ขนาดที่สำหรับคนที่ต้องการจะให้หุ้นสร้างกำไรได้หลายเท่าไม่ได้อยู่ที่ตัวหุ้น แต่อยู่ที่ว่าใครจะถือนานกว่ากันเพราะเมื่อได้กำไรแล้วผู้ถือหุ้นมักจะไม่ใช้เหตุผลในการพิจารณาซื้อขาย

ซื้อหุ้นดี ราคาถูก และถือให้นานที่สุด

อนุรักษ์ กล่าวว่าวิธีการเลือกหุ้นแล้วได้กำไร ต้องเลือกหุ้นดีที่มีราคาถูกและถือให้นาน เพราะบางครั้งหากเราทำทุกขั้นตอนถูกต้อง แต่ภาวะตลาดกลับทำให้เราไม่สามารถถือได้นาน ดังนั้นเราจะต้องมีความมั่นคงทางจิตใจด้วย จึงจะสามารถทำให้หุ้นตัวที่เราถือมีกำไรได้นาน แต่อีกหนึ่งสิ่งที่มีปัญหาคือหุ้นดีสำหรับเราคืออะไรและหุ้นตัวไหนลงมาอยู่ในจุดใดที่เรียกว่าถูก

ทิวา กล่าวเสริมว่า สำหรับผู้ที่มีอายุและสนใจในตลาดหุ้นก็ขอให้เลือกหุ้นที่เรารู้จักเป็นอย่างดีหรือหุ้นที่เราใช้บริการอยู่เป็นประจำเช่นเราเคยใช้บริการธุรกิจโรงกลึงเราก็จะรู้ว่าเขาประกอบกิจการธุรกิจอย่างไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลประกอบให้เราทราบได้ว่าบริษัทนั้นทำอย่างไรและมีโอกาสมากกว่าคู่แข่งอย่างไร ซึ่งเมื่อเรามีโอกาสได้ฟังผู้บริหารก็จะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าตัวดังกล่าวมีทางเป็นอย่างไร

แล้วหุ้นเด่นใน mai วันนี้มีอะไรบ้าง ? และเลือกอย่างไร

เทิดศักดิ์ บอกว่า ปัจจุบันนักวิเคราะห์ใน mai มีนักวิเคราะห์อยู่น้อยและวิเคราะห์หุ้นในกลุ่มที่ซ้ำกัน ดังนั้นทาง mai จึงมีการทำ Fact sheet เข้ามาเพื่อเป็นข้อมูลให้นักลงทุนได้ตัดสินใจ ซึ่งการวิเคราะห์นั้นก็จะวิเคราะห์สาดความน่าสนใจของหุ้นตัวนั้นๆ หุ้นตัวใดมีผู้ถือมากที่สุดและหุ้นตัวใดมีผู้ถือมากที่สุดในเดือนนั้นๆ ขณะที่อีกหนึ่งสิ่งคือการวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวนั้นมีการดำเนินกิจการธุรกิจอย่างไร

วิศิษฐ์ กล่าวว่า ส่วนตัวจะดูที่โมเดลธุรกิจ(วิธีประกอบการทางธุรกิจ)ที่จะประกอบกิจการและเข้ามาดูมูลค่าของแบรนด์สินค้านั้นๆ ซึ่งผลตอบแทนในตลาด mai ซึ่งที่ผ่านมา TNH (รพ.ไทยนครินทร์)ให้ผลตอบแทนถึง 19 เท่า ตั้งแต่จัดตั้งตลาดมา ขณะที่ SiamFuture(SF) มีการให้ผลตอบแทนสูงถึง 10 เท่า ดังนั้นการเลือกหุ้นที่ใช่ก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นตาม

ขณะที่เมื่อบริษัทนั้นๆอยู่มานาน ผลกำไรในแต่ละปีก็จะเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจด้วย ซึ่งตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมามีบริษัททั้งหมด 180 บริษัท ซึ่งในนั้นมี 12 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนถึงร้อยละ 70 แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีอีก 20 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนติดลบร้อยละ 99 ดังนั้นการดูโมเดลธุรกิจและธรรมาภิบาลของบริษัทนั้นๆก็เป็นสิ่งที่สำคัญ

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจนทำให้ธุรกิจนั้นไม่สามารถอยู่ได้ ให้นำกำไรทั้งหมดมาหารกับปีที่อยู่ ซึ่ง NETBay เป็นอันดับ 1 ในการให้ผลตอบแทนต่อปีสูงสุด และ SPA : Siam Wellness Group รองลงมา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลของผลประกอบการในปีที่ผ่านมา

การประกอบกิจการของเบย์เป็นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสร้างเป็นแพลตฟอร์มต่างๆจนทำให้เกิดความแตกต่างในการประกอบธุรกิจ ขณะที่ธุรกิจของ Siam Wellness Group เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับบริการนวดเป็นการสร้างความปกติให้เกิดความแตกต่างและเป็นมาตรฐานในสังคม

“ขณะที่เราศึกษารูปแบบของผู้ชนะในอดีตและทำเป็นสุดข้อมูลก็จะสามารถทำให้เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่าธุรกิจแบบใดที่จะให้ผลตอบแทนสูงในตลาด mai”

เทิดศักดิ์ กล่าวเสริมว่า สำหรับตลาด mai ปัจจุบันเป็นตลาดที่น่าลงทุนมากที่สุดเพราะก่อนหน้านี้มีการลงทุนจากต่างชาติมาก ซึ่งปีนี้กลับพบว่าสถาบันในประเทศมีการถือหุ้นมากกว่าสถาบันจากต่างชาติซึ่งแทบไม่มีเลย

มองหุ้น 3 ตัวเด่น ไว้ศึกษาต่อ

เทิดศักดิ์ แนะนำหุ้น 3 ตัวเด่นที่คาดการณ์ว่าจะดีเด่นในครึ่งปีหลังจากนี้ ซึ่งขอให้มองว่าเป็นแนวทางในการตัดสินใจและศึกษาต่อ คือ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ตัวแรกคือ Chewa(ชีวาทัย) ตัวที่ 2 คือ MOONG(มุ่งพัฒนา) ตัวที่ 3 คือ TMW (ไทยมิตซูวา) เนื่องจากปีที่ผ่านมามีการให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น และอีกตัวหนึ่งที่อยากให้ลองศึกษาดู คือ SWC(เชอร์วู้ด เคมิคอล) แม้ผลประกอบการอาจจะไม่ได้เด่นแต่การจ่ายเงินปันผลเป็นสัญญาณที่ดี

ขณะที่ วิศิษฐ์ แนะว่าตัวแรกมองที่ SPA : Siam Wellness Group เพราะ เขาสามารถนำสิ่งที่เป็นเรื่องปกติขึ้นมาเป็นมาตรฐานและมีการแข่งขันในรูปแบบสมบูรณ์ทุกหัวมุมถนนจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจพอสมควร

ตัวที่ 2 มองตัว NETbay การประกอบกิจการของ NETbay มีรูปแบบที่สามารถเจริญเติบโตต่อได้ ส่วนตัวที่ 3 คือ Chayo(ชโยกรุ๊ป) บริษัทบริหารหนี้เสีย และตัวที่ 4 คือ XO (Exotic Food) มองว่าบริษัทเป็นบริษัทที่มีแบรนด์และทำธุรกิจเรื่องส่งออกซึ่งในปีที่ผ่านมาผลตอบแทนของบริษัทอยู่ในระดับที่ดี และโตขึ้น 289% ตั้งแต่เข้าตลาดจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้นบริษัทที่ผ่านมาจะสังเกตได้ว่าแต่ละบริษัทก็จะมีรูปแบบการประกอบกิจการธุรกิจที่แตกต่าง การมี “แบรนด์เนม” และมีวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่มีความก้าวหน้า

นักลงทุนชอบหุ้นลักษณะไหน ?

อนุรักษ์ บอกว่า ส่วนตัวชอบคนที่มีรายได้ที่แน่นอน มีการเติบโตและไม่มีอะไรที่เข้ามาสร้างผลกระทบ มีผู้บริหารดีและมีวิสัยทัศน์ที่ดี ซึ่งส่วนตัวมองว่ากลุ่มที่น่าสนใจมีบริษัทหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จซึ่งอยู่ใน กลุ่มพลังงาน และมีอีก 2 ตัวที่กำลังศึกษาอยู่นั่นคือกลุ่มวัตถุดิบในการผลิตอาหารและมีการให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งที่ผ่านมามีการเข้าไปซื้อบริษัทในด้านที่ตนเองไม่ถนัดและกำลังเข้าไปปรับตัวอยู่ และอีกบริษัทเหล็กนั่นคือบริษัทที่ขายวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ และจ่ายปันผลค่อนข้างดีกำไรโตทุกปีรวมถึงมีแนวโน้มที่จะไปทำสถานพักฟื้นคนชราและโรงงานผลิตวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์เพิ่มขึ้น

ทิวา บอกว่า ส่วนตัวก็มองบริษัทที่ผลิตวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์อยู่เช่นกันเพราะปกติแล้ว โรงพยาบาลส่วนใหญ่ก็จะไม่ใช้วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ที่แตกต่างออกไปจากยี่ห้อเดิมที่ตนเองใช้

ขณะที่อีก 2 ตัวที่ไม่ได้ถือแต่น่าสนใจก็คืออยู่ในกลุ่มค้าปลีกที่มีการคาดการณ์กำไรเติบโตต่ำกว่าใน SET ซึ่งได้ผล ที่ดีจากการที่เงินบาทแข็งค่าและมีกลุ่มลูกค้าเป็นผู้หญิง ขณะที่บริษัทที่ 3 ที่น่าสนใจคือบริษัทที่ให้เช่าวงจรการสื่อสาร ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายสำหรับภายในบริษัท(intra NET)และรับการวางระบบด้วยซึ่งผู้บริหารระบุว่าจะเติบโตถึงร้อยละ 30 – 40 ซึ่งบางครั้งบริษัทเหล่านี้ก็จะใช้บริการบริษัทนี้เพื่อป้องกันการรั่วไหลข้อมูลและการเข้ามาของไวรัสคอมพิวเตอร์

หุ้น IPO ควรซื้อหรือไม่ ?

วิศิษฐ์ ยังคงย้ำให้ดูในเรื่องของการประกอบกิจการธุรกิจและดูในเรื่องของมูลค่าของธุรกิจนั้นๆว่ามีราคาต่อหุ้น-ผลตอบแทน ผิดปกติหรือไม่ และในส่วนที่ 3 คือในส่วนของผู้บริหาร และมีความเข้าใจในการประกอบธุรกิจรวมถึงมีธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจโดยไม่เอาเปรียบนักลงทุน

ขณะที่ เทิดศักดิ์ ระบุว่า IPO ตัวนั้นมีอะไรเหนือกว่าหรือไม่ ? แล้วธุรกิจดูมีการเจริญเติบโตหรือไม่ ? และความเหมาะสมต่อมูลค่าเหมาะสมหรือไม่ ? และอีกหนึ่งสิ่งที่ตัดสินใจนั่นคือการกระจายหุ้นของบอร์ดที่มีการกระจายมากน้อยเพียงใดซึ่งมีหลายๆเงื่อนไขที่ต้องพิจารณาและขอให้ดูเป็นกรณีต่างๆไป

อนุรักษ์ แนะว่า ในอดีตหลังจากผ่านวิกฤตช่วงปี 2540 ใน 1-2 ปี หลังจากนั้น ถือว่าเป็นช่วงที่ซบเซาของตลาดและไม่มีหุ้น IPO เลย แต่ในปี 2560 เป็นช่วงที่มีหุ้น IPO เข้ามากที่สุด เพราะมีจุดสูงสุดของตลาด

ถามว่าทำไมบริษัทต่างๆถึงปล่อยหุ้น IPO ให้ประชาชน เพราะ บริษัทจดทะเบียนต้องการขายหุ้นในราคาแพงที่สุดขณะที่นักลงทุนต้องการซื้อหุ้นในราคาถูกที่สุด ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างๆก็จะเป็นคนที่เข้ามาวิเคราะห์จุดตรงกลางว่าจุดใดเหมาะสมซึ่งหากวันใดที่ตลาดให้ผลกำไรผู้ที่ถือหุ้น IPO ถือว่าเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด แต่ก็ขอให้ดูเป็นตัวๆไป ซึ่งส่วนใหญ่พูดแบบนี้จะขายความสดใหม่และบางครั้งก็ไม่สามารถทำได้ตามที่ให้สัญญาไว้ดังนั้นนี้จึงขอให้ระวังไว้ด้วย

“ในฐานะนักลงทุนขอให้ทุกคนอย่ามักง่ายในการตัดสินใจลงทุน”

ทิวา กล่าวทิ้งท้ายว่า ซื้อได้แต่เลือกให้ดีและระวังความเสี่ยงในการซื้อด้วยและอยากให้ลงลึกในข้อมูลเพราะ 7 ใน 10 ตัวอาจไม่สามารถทำตามที่ให้คำสัญญาไว้ได้

สำหรับ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Market for Alternative Investment – MAI) เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งที่สองของประเทศไทย จะเน้นไปที่กิจการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี – SME) และกิจการเกี่ยวกับนวัตกรรม โดยได้ผ่อนผันหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ลง

Business Today
Business Todayhttps://businesstoday.co
Supporting Thailand's business communities./ FB Page: Business Today Thai/ Social: Business Today Thai (สำหรับ Twitter, YouTube, Telegram)/ LINE: @Business today/ เว็บที่เกี่ยวข้อง: Thailand Today: www.thailandtoday.co/ FB: Thailantoday.co (English)/ Thailand Today News: www.thailandtoday.news/ FB: Thailandtoday.news (Mandarin Chinese)

Latest

ติดตามข่าวสารอัพเดททันใจจาก Businesstoday ได้โดยกรอกอีเมลด้านล่าง

Related News