ปูพรม “เยาวราช รัชดาภิเษก ห้วยขวาง สัมพันธวงศ์” ลุยตรวจนอมินีทุนจีนสีเทา 200 แห่ง
นายจิตรกร ว่องเขตกร รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีข่าวทุนจีนสีเทาเข้ามาทำธุรกิจในไทยมากขึ้น เช่น ร้านอาหารย่านเยาวราช หรือย่านห้วยขวางนั้น กรมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบธุรกิจที่มีคนต่างชาติร่วมถือหุ้น ซึ่งไม่เฉพาะแค่ชาวจีนถือหุ้นเท่านั้น แต่จะเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ภัตตาคาร ร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก รถเช่า ร้านขายของที่ระลึก ธุรกิจนวด-สปา เป็นต้น ทั้งในย่านเยาวราช รัชดาภิเษก ห้วยขวาง และสัมพันธวงศ์ รวมประมาณ 200 บริษัท เพื่อป้องกันนอมินี แต่ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าทั้ง 200 รายเข้าข่ายเป็นนอมินี

โดยการตรวจสอบนั้น จะดูว่าประกอบธุรกิจอะไร ถ้าเป็นธุรกิจที่อยู่ในบัญชีแนบท้าย 1, 2 ของ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จะถือเป็นธุรกิจต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าวอยู่แล้ว โดยจะไม่สามารถทำธุรกิจเหล่านี้ได้ ส่วนบัญชี 3 ที่จะต้องขออนุญาตก่อนนั้น ได้มีการขออนุญาตถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ได้ขอก่อน จะถือว่าผิดกฎหมาย รวมถึงเข้าไปดูสัดส่วนการถือหุ้น การมีอำนาจบริหารจัดการ งบการเงิน ถ้าในงบการเงินระบุว่าประกอบธุรกิจในบัญชีแนบท้าย ก็เป็นข้อบ่งชี้ได้ว่าอาจเข้าข่ายเป็นนอมินี ซึ่งจากการตรวจสอบ บางบริษัท กรมฯ ได้ขอให้ส่งเอกสารหลักฐานมาให้ตรวจสอบเพิ่มเติม โดยจะให้เวลาส่งข้อมูลมาให้ชี้แจงภายใน 15 วัน ถ้าพบว่าเข้าข่ายนอมินี กรมฯ จะส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบเชิงลึกต่อไป
เตือน! อย่าหลงกลมิจฉาชีพแอบอ้างขอตรวจสอบข้อมูลธุรกิจ
นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับกระทรวงพาณิชย์ ในการหลอกลวงติดต่อทางโทรศัพท์และ Line โดยแอบอ้างเอกสาร และเว็บไซต์เกี่ยวกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ ในการขอข้อมูลส่วนบุคคลหรือขอตรวจสอบข้อมูลธุรกิจ เรื่องต่าง ๆ มีการเสนอเงินให้ความช่วยเหลือธุรกิจ

โดยให้คลิ๊กลิ้งค์เข้าไปกระทำการใด ๆ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนเป็นจำนวนมากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนดังกล่าวและได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ซึ่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้มีการประชุมหารือกับหน่วยงานภายในกระทรวงพาณิชย์แล้ว จึงได้ออกแนวปฏิบัติ 2 ข้อ คือ ทุกครั้งที่ได้รับโทรศัพท์หรือข้อความที่กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ หรือหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ “ให้สงสัยก่อนว่าเป็นการแอบอ้างจากมิจฉาชีพ” และ “ห้ามทำธุรกรรมใด ๆ อย่างเด็ดขาด” เนื่องจากการขอข้อมูลจากผู้ประกอบการหรือผู้มาติดต่อใด ๆ หน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์จะทำเป็นหนังสือทุกครั้ง
“อยากเรียนให้ทราบว่ากระทรวงพาณิชย์ก็เป็นผู้เสียหายในกรณีนี้เช่นกัน เพราะเป็นผู้ถูกแอบอ้าง ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานในสังกัด ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้แจ้งความและดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิดแล้ว และได้เตรียมแนวทางป้องกันหากเกิดกรณีดังกล่าวในอนาคต สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องติดต่อได้ที่ สายด่วน กระทรวงพาณิชย์ 1203” ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
“กอช.” ผนึก “กรุงไทย” เพิ่มช่องทางรับชำระเงินผ่าน “เป๋าตัง” ส่งเสริมการออมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีวัยเกษียณ
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. ได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่ให้ความสำคัญของการออมกับ กอช. และให้การสนับสนุนประชาชนคนไทย ที่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระได้เข้าถึงการออมกับ กอช. ที่ง่ายขึ้น สะดวกสบาย รวดเร็วด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มาประยุกต์ใช้ในการออมเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดเวลาในการเดินทาง โดยออมเงินผ่านสมาร์ทโฟน บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ซึ่งสามารถออมต่อเนื่องได้ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี พร้อมรับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐในเดือนถัดไป ตามช่วงอายุสูงสุด 100% หรือไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี และเงินออมของสมาชิกสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินบุคคลธรรมดาประจำปี

ทั้งนี้ สมาชิก กอช. ที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่เป็นผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ออมต่อเนื่องกับ กอช. ได้ผ่านเป๋าตังด้วยเช่นเดียวกันเพียงกรอกข้อมูลเพิ่มเติมในรหัสโครงการว่า “กยศ.” โดยการออม 1 ครั้ง จะเป็นการสะสมชั่วโมงจิตสาธารณะได้ 1 ชั่วโมงต่อเดือน ทั้งนี้ การออมกับ กอช. เมื่อคุณออม รัฐจะเพิ่มเงินสมทบให้ และเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์คุณจะได้รับเงินบำนาญรายเดือนจาก กอช. ดั่งสโลแกนที่ว่า “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญ”
หนี้ครัวเรือนฟื้นตัวเปราะบาง ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ ภาวะการครองชีพของครัวเรือนไทยปี 2566 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีภาคการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยเฉพาะปัจจัยหนุนจากการเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าคาด อีกทั้ง การอนุญาติให้ชาวจีนสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปยัง 20 ประเทศรวมถึงไทยในลักษณะเป็นกรุ๊ปทัวร์ได้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.66 ซึ่งจะเป็นแรงหนุนต่อเนื่องไปยังภาคการจ้างงานของไทย อย่างไรก็ดี ดัชนี KR-ECI อาจฟื้นตัวได้อย่างเปราะบางท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเข้ามากดดัน

โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก ประกอบกับค่าครองชีพไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง สถานะหนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ยังเป็นปัจจัยจำกัดการอุดหนุนค่าครองชีพจากภาครัฐ และค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการที่ปรับขึ้น จึงยังคงต้องติดตามการส่งผ่านราคาจากผู้ผลิตมายังผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ต้นทุนทางการเงินของครัวเรือนผ่านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้โดยเฉพาะในรายย่อยก็เพิ่มขึ้นตามทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. โดยปี 2566 คาดปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.75-2.00%
โดยสรุปแล้ว ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) ปัจจุบัน (ม.ค.66) และดัชนี 3 เดือนข้างหน้าปรับดีขึ้นที่ 35.1 และ 37.8 จากเดือนธ.ค. 65 ที่ 34.7 และ 37.1 ตามลำดับโดยครัวเรือนมีความกังวลลดลงเกี่ยวกับรายได้และการจ้างงานในอนาคต เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากมุมมองการการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของดัชนียังเผชิญกับหลายปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง
นักวิเคราะห์มองตลาดหุ้นแกว่งไซด์เวย์รอลุ้นเงินเฟ้อสหรัฐคืนนี้
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (14 ก.พ.) คาดดัชนีจะแกว่งไซด์เวย์ระหว่างรอลุ้นเงินเฟ้อสหรัฐฯในคืนนี้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อการส่งสัญญาณของทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯในระยะต่อไป และมีผลอย่างมากต่อตลาดหุ้น

ขณะที่ SET เมื่อวาน (13 ก.พ.) ปิดที่ 1,664.89 จุด เพิ่มขึ้น 0.32 จุด (+0.02%) มูลค่าการซื้อขาย 52,860.52 ล้านบาท ดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนทั้งแดนบวกและลบ โดยทำจุดสูงสุด 1,669.98 จุด และต่ำสุด 1,658.43 จุด แกว่งไซด์เวย์ทั้งแดนบวกและแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนรอติดตามการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯคืนนี้ ทำให้ยังชะลอการลงทุนในช่วง 2 วันนี้