“ชลน่าน” เสนอชื่อ “พิธา” เป็นนายกฯ “ชาดา” อภิปรายภูมิใจไทยไม่รับนายกฯแก้ ม.122
นพ.ชลนาน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ส.ส.ลงชื่อรับรองชื่อนายพิธา รวมทั้งสิ้น 302 คน ทั้งนี้ไม่พบการเสนอชื่อบุคคลอื่นแข่งขัน จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกอภิปราย

โดยเริ่มต้นที่ชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายเป็นคนแรกโดยใช้น้ำเสียงดุดัน ว่า เมื่อวันที่ 17พ.ค.ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยได้ออกแถลงการณ์จุดยืนพรรคไม่สนับสนุนนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล ะขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลแสดงจุดยืนของตนต่อกรณีการเสนอแก้ไขหรือยกเลิกมาตราดังกล่าวด้วยแถลงการณ์พรรคภูมิใจไทยได้ระบุชัดเจนว่า ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จพรรคภูมิใจไทยพร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานอย่างมีคุณภาพและจะคัดค้านการแก้มาตรา 112 อย่างเต็มที่ แม้ว่าพรรคการเมือง 8 พรรคจะมีการบันทึกความเข้าใจร่วมกันต้องไม่กระทบรูปแบบของรัฐในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ในทางกลับกันพิธา ในฐานะผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นคนเดียวที่ ยืนยันว่าจะแก้ไขมาตรา 112
โดยจะให้ส.ส.พรรคก้าวไกลเป็นผู้เสนอแก้ไข โดยพิธาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อทั้งในและต่างประเทศโดยอ้างถึงประชาชน 14 ล้านเสียง พร้อมระบุว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ต้องการผลักดัน ท่านอ้างว่า ต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอเรียนตามตรงว่าพรรคภูมิใจไทยไม่เชื่อ เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาทำให้เราเห็นชัดเจนน่าจะทราบกันเป็นอย่างดี
“พิธา” ซัด อย่าให้มี “ศาลเตี้ยในรัฐสภา” มั่นใจมีคุณสมบัติเป็นนายกฯได้
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ ชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภา ว่าตามประเด็นที่ถูกพาดพิงในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ประเด็นดังกล่าวไม่อยู่ใน MOU ของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล เพราะการแก้ไขกฎหมายอยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะพิจารณา ทั้งนี้การยื่นร่างกฎหมายแล้วจะไม่มีการผูกขาดชุดความคิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของส.ส.ที่เป็นตัวแทนของประชาชน ที่มีความคิดเห็นแตกต่าง พูดกันแบบวุฒิภาวะไม่หยาบคาย ใช้เหตุผล คือทางออกของประเทศในชุดความคิดที่ขัดแย้งที่เกิดขึ้น

โดยตนไม่เห็นด้วยที่บอกว่า ใครหมิ่นสถาบันให้เอาปืนไปยิงเลย ซึ่งเท่ากับไม่รู้ถึงวัฒนธรรมรับผิดรับชอบ ทั้งนี้ในประเด็นของกฎไอซีซี ที่มีหลักการว่า อาชญากรรรมทางสงคราม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขณะนี้มีประเทศที่ปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวม 27 ประเทศ ซึ่งมีบางประเทศลงนามรรับรองแล้ว ทั้งนี้องค์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ใช้อำนาจผ่าน ครม.
โดยตนยืนยันกับสมาชิกรัฐสภา 750 คน ว่า ตนมีคุณสมบัติที่สมบูรณ์แบบ และมีความชอบชอบธรรม แม้กระบวนการที่กล่าวหาตน ทั้งที่ตนไม่รู้ว่าข้อกล่าาวหานั้นคืออะไร เห็นแค่มติผ่านสื่อมวลชน ดังนั้นตามสมมติฐานของทนายหรือนักกฎหมายต้องสมมติฐานว่าบริสุทธิ์ไว้ก่อน อย่าให้มีศาลเตี้ยในรัฐสภา
ตำรวจ – ทหาร เตรียมเส้นทางฉุกเฉินอพยพออกจากสภาฯ
13 ก.ค.2566 ที่รัฐสภามีการเตรียมการรักษาความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย เเละจัดการจราจร การชุมนุมสาธารณะ บริเวณรัฐสภา พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.น. เป็นประธานได้เป็นประธานในการประชุมเตรียมพร้อม ณ ห้องประชุม ศปก.น.สน.(รัฐสภา) ชั้น B1 อาคารรัฐสภา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พร้อมผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

ทั้งนี้ในส่วนของ บก.รน. จัดเรือตรวจการณ์ 3 ลำ เรือยางท้องเเข็ง 1 ลำ เข้าเเผน รปภ.ทางน้ำ เเละการเคลื่อนย้ายฉุกเฉินทางน้ำ ในเเม่น้ำเจ้าพระยา ร่วมกับ กองทัพเรือ เเละกรมเจ้าท่า บรรยากาศบริเวณรอบรัฐสภา มีเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมอุปกรณ์ตรวจวัตถุระเบิด และสุนัขตำรวจ จำนวน 2 ตัว ได้เดินตรวจบริเวณรอบรัฐสภาฝั่งถนนทหาร เพื่อดูแลอำนวยความปลอดภัยและ อำนวยความสะดวก ให้กับพี่น้องประชาชน ที่จะมาเข้าร่วมชุมนุมในวันนี้ หัวหน้าชุดหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด ได้เปิดเผยว่า ทั้งนี้ได้รับการร้องขอจากทางสภาให้ดูแลความปลอดภัยบริเวณโดยรอบรัฐสภา โดยให้ตรวจหาสิ่งแปลกปลอมและสิ่งผิดปกติที่อาจจะปะปนมา เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้จากการตรวจสอบยังไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด
“กกต.” โต้ “ก้าวไกล” ชี้มีอำนาจส่งปมหุ้น ITV ให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง( กกต.) ชี้แจงกรณีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส. ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล มีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ระบุว่า ตามที่ กกต. ได้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวานนี้ (12 ก.ค.) เป็นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐธรรมนูญตามมาตรา 82 วรรคสี่

ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร… มีเหตุสิ้นสุดลง… ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย…” ซึ่งมาตรา 82 วรรคสี่ บัญญัติให้ กกต. เป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรง สามารถส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้ กรณีดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง หรือการกระทำอันอาจเป็นเหตุให้การเลือกตั้ง มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือมิได้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จะต้องนำบทบัญญัติตามมาตรา 43 ของ พ.ร.ป. ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 และ ข้อ 54 ของระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566 มาใช้บังคับแต่อย่างใด
“ประยุทธ์” ย้ำวางมือแล้วขออย่าโยงอยู่เบื้องหลังการเมือง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เดินทางไปเป็นประธานพิธีทำบุญ และเปิดอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท ใช้เวลาร่วมรับประทานอาหารกลางวัน และพูดคุยกับอดีตผู้บริหารและผู้บริหารสำนักงบประมาณ จนถึงเวลา 13.10 น. จากนั้นได้ลงมาบริเวณโถงชั้นล่าง สำนักงานแห่งใหม่ของสำนักงบประมาณ

ซึ่งมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่พร้อมใจยืนรอส่ง มอบดอกกุหลาบสีแดงให้กำลังใจ บอกรักลุงตู่ จะอยู่เคียงข้าง รักที่สุด พร้อมขอกอดพล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวว่า “ขอบคุณทุกคน ตื้นตันๆ ที่ผ่านมา ก็ทำงานเต็มความสามารถให้กับพวกเราทุกคนอย่างเต็มที่” ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้หลังประกาศวางมือทางการเมืองได้วางแผนไว้อย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้ประกาศไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรก็ตามนั้น นั่นแหละจ๊ะ
เมื่อถามว่าที่ประกาศวางมือทางการเมืองวางมือจริงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ตามนั้นแหละ ตามนั้น เมื่อถามว่านายกฯ ไม่ได้อยู่เบื้องหลังต่อใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เคยอยู่เบื้องหลังใครทั้งสิ้นยังไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา ก็เป็นเรื่องของทางสภาฯ “อย่าเอาเราไปยุ่งเลย วันนี้ไม่เกี่ยวแล้วไง ก็ลาออกไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้ำ”