นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งในงาน Thailand Seamless: Moving Forward & Go Green “ประเทศไทย” ก้าวไปข้างหน้าอย่างไร้รอยต่อ มุ่งสู่โลกสีเขียว ว่าในปี 2566 กระทรวงมีแผนผลักดันการลงทุนวงเงินรวม 124,839 ล้านบาท แบ่งงบประมาณ 35,395 ล้านบาท และนอกงบประมาณ 89,443 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทางรางสูงสุดด้วยมูลค่ารวม 883,147 ล้านบาท หรือคิดเป็น 66.6% รองลงมา คือ ขนส่งทางถนน มูลค่ารวม 30,960 ล้านบาท คิดเป็น 24.8% ระบบขนส่งทางอากาศมูลค่า 6,331 ล้านบาท คิดเป็น 5.8% และระบบขนส่งทางน้ำ มูลค่า 2,936 ล้านบาท คิดเป็น 2.4% และขนส่งทางบก มูลค่า 597 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.4% ของวงเงินลงทุนทั้งหมด
การลงทุนของกระทรวงคมนาคมจะก่อให้เกิดการพลิกโฉมประเทศ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งการจ้างงานเพิ่มขึ้น 154,000 ตำแหน่ง วงเงินสะพัดในอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่อง 1.24 ล้านล้านบาท และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงถึง 2.35% ของจีดีพี หรือราว 4 แสนล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้จะเพิ่มขีดความสามารถท่าอากาศยานหลัก จาก 80 เป็น 120 ล้านคนต่อปี, เพิ่มขีดความสามารถท่าเรือแหลมฉบัง จาก 11 เป็น 18 ล้านตู้ต่อปี, เพิ่มความเร็วในการเดินทางจากกรุงเทพไปเมืองหลักจาก 80 เป็น 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, เพิ่มความเร็วในการเดินรถไฟขบวนผู้โดยสาร จาก 60 เป็น 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, เพิ่มความเร็วในการเดินรถไฟขบวนสินค้า จาก 40 เป็น 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขณะเดียวกันจะเพิ่มโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้ครบ 14 สายทาง 554 กิโลเมตร, เพิ่มโครงข่ายรถไฟทางคู่ และแก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟ เป็น 1,111 กิโลเมตร, เพิ่มการเชื่อมต่อภูมิภาคด้วยโครงการ รถไฟ ไทย-ลาว-จีน และรถไฟ เชื่อม 3 สนามบิน และเพิ่มโอกาสสร้างอนาคตประเทศ ด้วยโครงการ MR-MAP และแลนด์บริดจ์ หรือโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย ที่จะก่อให้เกิดการเดินทางและการขนส่งในภูมิภาคสะดวก เสมือนประตูการค้าเพื่อเชื่อมอาเซียนไปสู่โลก