เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป เปิดเผยกำไรไตรมาส 2 โตขึ้น 12% เตรียมใช้แผนธุรกิจแบรนด์ร้านอาหารเขียง กับแบรนด์อื่นๆในเครือ หวังเปิดสาขาร้านอาหารในเครือเพิ่ม 100 สาขา ภายในปี 62
บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN นำโดย นายบุญยง ตันสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และนาวสาวยุพาพรรณ เอกสิทธิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจการเงินและบัญชีเข้าชี้แจงผลดำเนินงานไตรมาส 2/62 ในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
นายบุญยง กล่าวว่า บริษัทฯอยู่ในธุรกิจร้านอาหารมานานกว่า 28 ปี โดยมีแบรนด์ร้านอาหารทั้งหมด 12 แบรนด์ ซึ่งแบ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น 6 แบรนด์ และร้านอาหารไทย 6 แบรนด์ โดยช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการขยายสาขาร้านอาหารนอกศูนย์การค้ามากขึ้น โดยปีต่อไปจะเน้นปรับปรุงสาขาเดิมมากขึ้นเนื่องจากได้มีการดำเนินธุรกิจมานาน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการทดลองปรับปรุงร้านเดิมและได้รับผลกำไรที่ดีมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มกลยุทธ์ด้วยการนำร้านอาหารในเครือไปอยู่ใกล้ชิดกับลูกค้าในแต่ละพื้นที่มากขึ้น โดยเน้นความสำคัญของการทำเดลิเวอรี่ ซึ่งมีพันธมิตรในเรื่องการจัดส่ง นับเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ของบริษัทฯ และยังมีการนำข้อมูลมาช่วยการขยายธุรกิจและลดความเสี่ยงอีกด้วย ทำให้รายได้จากเดลิเวอรี่ เติบโตขึ้นจาก 1 ล้านบาท/เดือน เป็น 15 ล้านบาท/เดือน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเกิดจากการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค
สำหรับการดำเนินงานของร้านอาหารต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมามีดังนี้
1.ร้านตำมั่ว ขายแฟรนไชส์ได้มากขึ้น โดยทำให้ร้านเล็กลงส่วนใหญ่อยู่ในศูนย์การค้าอย่างโลตัส บิ๊กซี หรือห้างสรรพสินค้าขนาดเล็ก ปั๊มน้ำมัน และยังมีแผนนำเมนูอาหารเข้าไปวางขายในร้านสะดวกซื้อด้วย เพื่อทำให้แบรนด์ไทยง่ายต่อการรับประทานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเปิดสาขาใหม่ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน โดยเป็นช่วงทดลอง จับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อ
2.ร้านลาวญวน ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดสาขาใหม่ที่ห้างสรรพสินค้าเซนทรัล ลาดพร้าว โดยมีการปรับปรุงร้านให้โดดเด่นและสวยงามมากยิ่งขึ้น
3.ร้านแจ่วฮ้อน จะพยายามปรับให้ลูกค้ามีความหลากหลายมากขึ้น โดยได้มีการเน้นเปิดร้านใหม่ในพื้นที่ตึกแถว และปั๊มน้ำมัน และยังมีการพัฒนาเมนูขึ้นมาใหม่เพื่อให้สามารถเดลิเวอรี่ลูกค้าได้ด้วย
4.ร้านเฝอ พยายามพัฒนาให้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยว และอาหารจานเดียวพร้อมรับประทาน โดยจะช่วยกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น และจะพยายามเปิดสาขาใหม่ในพื้นที่ปั๊มน้ำมันอีกด้วย
5.ร้านอากะ ขณะนี้พยายามบุกตลาดมากขึ้น เพราะเทนด์ปัจจุบันผู้บริโภคกำลังนิยมอาหารประเภทบุฟเฟต์ โดยสิ้นปีนี้จะมีทั้งหมด 25 สาขา ส่วนที่เมียนมาร์เพิ่งเปิดใหม่ 2 สาขา ถือว่าได้รับความนิยมจากชาวเมียนมาร์เป็นอย่างมาก เนื่องจากร้านมีขนาดกว่า 1,000 ตร.ม. และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ซึ่งโดยปกติร้านอากะที่ไทยจะมีขนาดอยู่ไม่เกิน 200 ตร.ม.
สำหรับรายได้ของบริษัทฯ ยังคงมาจากธุรกิจร้านอาหารเป็นส่วนใหญ่กว่า 80% ของรายได้ทั้งหมด แต่คาดว่าปีต่อไปสัดส่วนจะปรับลดลงเนื่องจากจะมีรายได้กลุ่มอื่นมากขึ้นเช่น แฟรนไชส์ ค้าปลีก และเดลิเวอรี่ ที่บริษัทฯ พยายามเน้นรุกตลาดอยู่ในขณะนี้
ปัจจุบันบริษัทฯ มีร้านอาหารทั้งหมด 275 สาขา จากทั้งหมด 12 แบรนด์ โดยปีนี้ตั้งเป้าขยายเพิ่มอีก 100 สาขา
ส่วนร้านอาหารญี่ปุ่นจะเน้นให้บริการแบบเดลิเวอรี่ทุกแบรนด์ซึ่งจะเกิดขึ้นช่วงปลายปี 62 สำหรับการที่เรามีร้านอาหารหลายแบรนด์ทำให้เรามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลายกลุ่ม โดยเมนูอาหารมีราคาเริ่มต้นที่ 50 บาท – 5,000 บาท ถือเป็นการกระจายฐานลูกค้าเพื่อสู้กับความผันผวนของเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ทั้งนี้ บริษัทฯจะใช้แบรนด์เขียง เป็นโมเดลในการขยายสาขาของทุกแบรนด์ โดยจะมีการขยายไปในพื้นที่ ปั๊มน้ำมัน ตึกแถวเดลิเวอรี่ คอมมอล์เล็กๆ ฟูดคอร์ท เคาน์เตอร์ เปิดในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT เป็นต้น ซึ่งทำให้ยอดขาเติบโตอย่างก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทฯ จะให้ความสำคัญกับการเปิดสาขาใหม่ในพื้นที่นอกห้างสรรพสินค้า แต่ยังได้ทิ้งพื้นที่บนห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ไปเสียทีเดียว โดยจะยังมีการเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เช่นเดิม แต่จะเลือกเปิดในห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่และมีความอยู่ตัวของลูกค้าแล้ว โดยจะไม่เปิดในห้างสรรพสินค้าใหม่เด็ดขาด เนื่องจากมองว่าเป็นความเสี่ยงที่สูง
ด้าน นาวสาวยุพาพรรณ กล่าวปิดท้ายว่า ช่วงไตรมาส 2 ของปี 62 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 33 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายรายได้รวม 765 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4% เป็นผลมาจากยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยภายหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (DE) ของบริษัทฯ ลดลงเหลือ 0.38% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 2.34%
ราคาหุ้น ZEN ก่อนปิดซื้อขายวันที่ 12 ก.ย.62 อยู่ที่ 16.60 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันที่ 11 ก.ย.62 ที่ 16.30 บาท/หุ้น (+1.84%)