“เศรษฐา” เรียก ผบ.ตร.รายงานคืบหน้าเหตุยิงตำรวจที่นครปฐม
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุการณ์ยิงตำรวจทางหลวงในบ้านพักของกำนันนกที่ จ.นครปฐม ว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า เรื่องนี้ตนเองได้พูดตั้งแต่วันแรกที่เข้ามารับหน้าที่ ว่าตำรวจหรือข้าราชการทั้งหมด ต้องให้ความเป็นธรรม เพราะตำรวจทำงานหนักมาทั้งชีวิต แต่กลับมีการซื้อขายตำแหน่ง จึงถือเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม กรณีที่เกิดขึ้นที่นครปฐม เป็นเหตุการณ์ที่แย่กว่านั้นอีก คือผู้มีอิทธิพลจะขอโยกย้ายตำรวจ เท่าที่ตนเองได้ยินมา พอไม่ได้ดั่งใจก็ยิงเขา แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้รัฐบาลจะเอาจริงแน่นอน ขณะที่ ผบ.ตร. ก็ได้ให้ข้อมูลมาแล้ว จะให้ความสำคัญกับคดีเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

ส่วนข้อมูลล่าสุดที่เป็นที่มีเรื่องส่วยเข้ามาเกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เข้าใจว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ได้เรียกตำรวจทั้ง 21 นายไปสืบสวนแล้ว ก็ขอให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ด้วย แต่ถ้าหากเป็นจริงต้องจัดการตามขั้นตอนของกฎหมาย นายกรัฐมนตรี ยังมั่นใจว่า ปัญหาซื้อขายตำแหน่งและจ่ายส่วย รัฐบาลของประชาชนที่ให้นโยบายส่วยและเรื่องแต่งตั้งไม่เป็นธรรม เรื่องนายทุนและผู้มีอิทธิพล ที่มามีบทบาทต่อการโยกย้าย ได้พูดไปนานและหลายเวทีแล้ว ในช่วง 2-3 นี้ ก็พูดไป 4-5 หนแล้ว คงเชื่อว่าไม่มีใครกล้าที่จะกล้าทำผิดอีก
ส่วนการวิสามัญนายหน่อง มือปืน ที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการฆ่าตัดตอน เพื่อไม่ให้สาวถึงผู้มีอิทธิพลที่เป็นตัวการใหญ่นั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับตำรวจด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าการวิสามัญจะเป็นเรื่องฆ่าตัดตอนตามที่ผู้สื่อข่าวได้ถามหรือไม่ แต่คิดว่าไม่น่าใช่
“อมรรัตน์” เผย “พิธา” ใกล้กลับมาทำหน้าที่ สส.คาดไม่ผิดคดีหุ้นสื่อ
อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ ปัจจุบันเป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ถึงคดีหุ้นสื่อของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส.ไว้จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยนั้น

อมรัตน์ กล่าวว่า ล่าสุด เจ้าหน้าที่ กกต.กลุ่มงานสอบสวน ได้ทำความเห็นเพื่อเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุม กกต.ว่า นายพิธา ไม่มีความผิด หลังจากนี้ กกต.คงจะส่งเรื่องให้ทางศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม มีความมั่นใจว่า พิธา จะได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ สส.อย่างแน่นอน
ส่วนกรณีที่พรรคก้าวไกล ได้ สส.จังหวัดระยอง เพิ่มมาอีก 1 เขตนั้น นางอมรัตน์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลจะได้ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) เพิ่มมาอีก 1 คณะ จาก 10 คณะเป็น 11 คณะ ที่สำคัญจะทำให้พรรคสามารถเสนอแก้ข้อกฎหมายสำคัญได้เลย โดยไม่ต้องไปพึ่งพาพรรคการเมืองอื่น
“ชัยวัฒน์”ชี้รัฐบาลแจกเงินดิจิทัลจ่อเอื้อเจ้าสัว ร้านค้าขนาดใหญ่
ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายถึงเรื่องนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาล ว่า ยังไม่เหมาะสมที่จะใช้นโยบายการคลังนี้มากระตุ้นเศรษฐกิจ ในสภาวการณ์ที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว เพราะควรทำตอนกำลังของภาคเอกชนหดตัว อีกทั้งมองว่าการนำเงินมาแจกเพื่อแก้ปัญหา เป็นการแก้ที่ไม่ถูกจุด เพราะการเชื่อว่าการแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะเกิดพายุเงินนั้น หากมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเงินก็จะรั่วออกไปต่างประเทศ หรือหากไปซื้อน้ำมัน เงินก็จะเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้เม็ดเงินภาษีของประชาชนขาดทุน

ดังนั้น อาจจะกลายเป็นพายุไต้ฝุ่น ที่สร้างภาระหนี้ต่อลูกหลานในอนาคต จึงมองว่าเป็นแค่เทคนิคในการหาเสียงเท่านั้น คนที่เสียประโยชน์คือประชาชน ชัยวัฒน์ กล่าวว่า หากรัฐบาลต้องการจะทำโครงการดังกล่าว จะเป็นการบังคับให้คนกลับภูมิลำเนากลับไปใช้เงินหรือไม่ อีกทั้งยังเป็นการบีบบังคับให้ใช้เงินภายใน 4 กิโลเมตร
ซึ่งปลายทางอาจจะไปจบที่ร้านสะดวกซื้อและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ขณะที่รัฐบาลเองก็ไม่เคยมีคำอธิบายเรื่องการใช้ในพื้นที่ห่างไกล ว่าใช้ได้อย่างไร อาจทำให้ผู้ค้ารายเล็กถูกบีบด้วยเงื่อนไข 4 กิโลเมตรเช่นกัน ทำให้ร้านค้าไม่อยากเข้าร่วมรายการ หรืออาจจะรับด้วยการเพิ่มราคาอาหาร หรือเกิดการทุจริตแลกเงิน คนที่เสียประโยชน์ก็ยังเป็นประชาชน
งบประมาณกว่า 5.6 แสนล้านบาท ที่จะนำมาใช้จ่าย นั้นจะมีที่มาอย่างไร อีกทั้งการใช้บล็อกเชนมาใช้ทำธุรกรรม อาจจะทำได้ช้า และไม่เหมาะสมกับจ่ายเงินพร้อมกันของประชาชน โดยมีการประเมินกันว่าระบบดังกล่าวนำมารองรับการใช้พร้อมกันได้จำนวนหลักพันคนถือว่าเก่งแล้ว จึงไม่เหมาะกับการใช้ระบบชำระเงินพร้อมกันจำนวนมาก จึงมองว่าระบบเงินดิจิทัลจะไม่เป็นพายุหมุน
“อนุทิน” เชื่อมือ “ชาดา” ปราบผู้มีอิทธิพล
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงการปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลและมาเฟีย ว่าตนมอบหมาย ชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทยไปแล้ว ซึ่งความคืบหน้าการดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย.นี้ ตนก็จะมีอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อนายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายจบ เราก็จะเริ่มทำงานได้เต็มตัว

เมื่อถามว่า จะมั่นใจว่าชาดาจะจัดการบริหารเรื่องนี้ได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็ต้องมั่นใจเพราะทุกคนมีระยะทดลองงาน เมื่อถามว่า ตั้งกรอบระยะเวลาการทำงานไว้หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า งานและปัญหาประชาชนมีอยู่ตลอดเวลา เราจะไปตั้งกรอบเวลามันไม่เกิดประโยชน์ เราต้องแก้ปัญหาไปทุกวันๆ
เมื่อถามกรณี ความคืบหน้าการสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดจัดทำบัญชีผู้มีอิทธิพล นายอนุทิน กล่าวว่า ก็คืบหน้าไปเรื่อยๆและตอนนี้ได้มอบหมายนายชาดาไปแล้ว
เมื่อถามว่า การอภิปรายในสภาเป็นอย่างไรบ้าง หากเทียบกับบรรยากาศการอภิปรายในอดีตที่ผ่านมา อนุทิน กล่าวตอบคำถามว่า นายกฯ พูดถึงเนื้อหาได้ดี
“มล.ชโยทิต”จี้รัฐบาลให้ความถูกต้องประชาชน เรื่องราคาพลังงาน
หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมอภิปรายในการประชุมร่วมรัฐสภา วาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้เวลาอภิปราย 15 นาที ว่าขอฝากให้รัฐบาลใหม่ช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชนรับทราบในเรื่องการแก้ไขไฟฟ้าแพง กำลังการปลิตไฟฟ้า เพราะมีการหยิบยกมาพูดให้คนเข้าใจผิดโดยมีหวังประโยชน์ด้านการเมือง การสำรองไฟฟ้า อยากให้ศึกษาจริงจังว่าไทยมีเท่าไหร่แน่ รวมไทยไฟฟ้าเสรี ต้องศึกษาว่าดีจริงหรือไม่ คุณภาพของไฟฟ้า หรือระบบที่จะเอามาใช้ให้ประชาชนมีค่าใช้จ่ายน้อยลง ต้องศึกษาว่าเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติพร้อมสนับสนุน ดูแลผู้เปราะบางอย่างเหมาะสมต่อไป

การจะดูเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ เพราะไทยพึ่งการส่งออกและค้าขายต่างประเทศอยู่มาก ซึ่งความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ของมหาอำนาจ ทำให้ไทยมีโอกาสเรื่องการย้ายฐานการผลิต จึงเป็นความจำเป็นที่ไทยต้องปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ที่จะทำให้ไทยเป็นฐานผลิตที่สะอาดและไม่มีความขัดแย้ง
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลมีนโยบายลดราคาพลังานโดยทันที เป็นเรื่องจำเป็นลดภาระค่าครองชีพ แต่การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันต้องไม่เป็นภาระวินับการเงินการคลังด้วย และควรพิจารณาช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟต่ำกว่า 300 หน่วยที่เป็น 80% ของครัวเรือนทั้งประเทศ ช่วยเหลือค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ทั้งนี้เห็นด้วยกับการผลักดันพลังงานสะอาด เพราะจะช่วยลดต้นทุนได้ ซึ่งราคาพลังงานสะอาดของไทยอยู่ที่ 2.18 บาท ถูกกว่าการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลก่อนหน้าประกาศว่าภายในปี 2050 ไทยจะเป็นกลางในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในการประชุม COP 27 ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกที่ประกาศในอาเซียน จนได้รับการตอบขานว่าเชื่อถือได้มากที่สุดในอาเซียน