แอปเปิ้ลได้ขนทัพผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาเปิดตัวในงานนี้หลากหลายตัวด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น iPhone 11 และรุ่น 11Pro, Apple Watch 5 รวมถึง iPad 10.2
เริ่มต้นด้วย Tim Cook ซีอีโอของบริษัท Apple กล่าวเปิดงานโดย พูดถึง Apple Store และ Apple Arcade

Apple Arcade
เป็นแท็บใหม่ใน App Store ที่จะมีเกมใหม่ ๆ ออกมาทุกๆ เดือน พร้อมกับคำแนะนำ, เกมเทรลเลอร์, บทสรุปเกม โดยมี Benjamin Kinney จากบริษัท Konami มานำเสนอเกมใหม่ๆ ในระบบนี้นั่นก็คือ Frogger in Toy Town และจะเป็นเกมแรกที่มาในระบบนี้ เฉพาะบน Apple Arcade เท่านั้น

ด้าน Capcom มาพร้อมกับเกม Shinsekai: Into the Depths และสุดท้ายเป็น Kelsey Hansen จากค่าย Annapurna มาพร้อมกับเกม Sayonara Wild Hearts เป็นเกมแนวเพลงที่สามารถเล่นเป็น MV ได้

นอกจากนี้ยังมีพาร์ทเนอร์ต่างๆ อีกมากมาย โดย Apple Arcade จะเริ่มให้ใช้งานในกว่า 150 ประเทศตั้งแต่วันที่ 19 กันยายนนี้ ซึ่ง ณ วันแรกที่เปิดตัวจะมีเกมให้บริการแล้วกว่า 100 เกม ค่าบริการ $4.99 ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 1 เดือนแรก
Tim Cook ได้กลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง พร้อมฉายตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง See จากในบริการ Apple TV+



Apple TV+
ซึ่งบริการนี้จะเริ่มให้ใช้งานในกว่า 100 ประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ในราคา $4.99 ต่อเดือน สำหรับ Family subscription และสุดสำหรับผู้ที่ซื้อ iPhone, iPad, Mac และ Apple TV จะได้สิทธิ์ดูฟรี Apple TV+ เป็นเวลา 1 ปี
หลังจากนั้น Tim Cook ได้พูดถึง iPadOS ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 ล้านเครื่อง ก่อนส่งต่อให้ Greg Jozwiak เป็นผู้นำเสนอ “iPad Gen7”

iPad Generation 7 มาพร้อมกับหน้าจอ Retina ขนาด 10.2 นิ้ว ใช้ชิปประมวลผล A10 Fusion และ Smart Connector สำหรับเชื่อมต่อกับ Smart keyboard ได้แล้ว!

สามารถใช้งาน Multitasking, การรองรับเว็บเบราวน์เซอร์ต่างๆแบบเดียวกับในคอมพิวเตอร์ได้ เช่น Squarespace และ Google Docs


มาพร้อมกล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล มีรุ่น LTE และผลิตโดยอะลูมิเนียมจากการรีไซเคิล 100% ในราคาเริ่มต้น $329 และ $299 สำหรับนักเรียน/นักศึกษา เริ่มจัดส่งปลายเดือนกันยายนนี้


กลับมาที่ Tim Cook และเริ่มเข้าสู่หัวข้อ Apple Watch
โดยในปีนี้ ได้มาพร้อมกับแอปฯ สุขภาพใหม่ 3 ตัว ได้แก่ Apple Hearing Study, Apple Women’s Health Study และ Apple Heart & Movement Study โดยทั้งหมดนี้จะอยู่ในแอพฯที่ชื่อว่า Apple Research
และส่งต่อให้กับ Stan Ng เพื่อแนะนำ Apple Watch Series 5
Apple Watch Series 5
มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่างเข็มทิศในตัว และโหมดการโทรฉุกเฉินรองรับทั่วโลก และชูจุดขายเรื่องหน้าจอจะไม่ดับอีกต่อไป นอกจากนี้หน้าปัดต่างๆ ยังถูกปรับให้เข้ากับหน้าจอใหม่รวมถึงหน้าจอการออกกำลังกายในแอปฯ Workout ด้วย



Apple Watch 5 มีออกมาทั้งหมด 3 สีได้แก่ Silver, Gold และ Space gray รวมถึงผลิตด้วยวัสดุรีไซเคิล 100%


นอกจากนี้ยังมีรุ่น Titanium และ Ceramic ตามข่าวลืออีกด้วย
ราคาเริ่มต้นที่ $399 และ $499 สำหรับรุ่น Cellular เริ่มจัดส่งในวันที่ 20 กันยายนนี้


ส่วน Apple Series 3 ยังวางขายอยู่ เริ่มต้นที่ 199 ดอลลาร์
และก็ถึงเวลาไฮไลต์สำคัญของคืนนี้คือ iPhone 11 นำเสนอโดย Cayenne

iPhone 11
มาพร้อมกับชิป A13 Bionic ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในขณะนี้ นอกจากนี้ Apple เคลมว่า iPhone 11 นั้นใช้กระจกที่มีความแข็งแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ใช้หน้าจอ Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว รองรับ Haptic Touch ใช้ลำโพงของ Dolby Atmos มีทั้งหมด 6 สี ดำ, เขียว, เหลือง, ม่วง, ขาว และสีพิเศษ สีแดง


กล้องหลังคู่นั้นประกอบไปด้วย กล้องหลัก 12 ล้านพิกเซล ระยะ 26mm f/1.8 และอีกตัวเป็น 12 ล้านพิกเซล Ultra-wide f/2.4 สามารถทำ Optical Zoom 2x



เพิ่มระบบ Semantic rendering ที่จะแยกแยะวัตถุในภาพเพื่อจัดแสง ระบบ Multiscale tone mapping ที่จะควบคุมส่วน Highlights ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่รอบๆ ทำให้ Portrait mode ทำงานกับสัตว์เลี้ยงได้ และมี Night mode แล้ว



วิดีโอใน iPhone 11 รองรับการบันทึกวิดิโอ 4K 60fps, Slomo, Time-lapse มีกันสั่น และการครอบคลุม Dynamic range ที่มากกว่าเดิม เปลี่ยนการกดปุ่มชัตเตอร์ค้างจากถ่ายรัวเป็นการบันทึกวิดีโอแทน ซึ่ง Apple ได้ระบุว่านี่เป็นสมาร์ทโฟนที่มีคุณภาพวิดีโอดีที่สุดในขณะนี้
ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล TrueDepth ที่รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 60fps และถ่าย Slofie (Slomo Selfie) จากกล้องหน้าได้

iPhone 11 จะมีแบตเตอรี่นานกว่า iPhone XR 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ก็มาพร้อม Face ID ที่เร็วขึ้น
โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $699 (ประมาณ 21,400 บาท)
Tim Cook ได้กลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งพร้อมกับพูดว่า “เรามีบางสิ่งที่พิเศษจริงๆ รออยู่” นั่นก็คือ iPhone 11 Pro จากนั้นได้ส่งต่อให้กับ Phil Schiller เป็นผู้นำเสนอ
iPhone 11 Pro
ดีไซน์ด้านหลังตัวเครื่องนั้นผลิตด้วยกระจกชิ้นเดียว มีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ ทอง, เทาสเปซเกรย์, เงิน, เขียวมิดไนท์กรีน ใช้หน้าจอ Super Retina Display ขนาด 5.8 นิ้ว และ 6.5 สำหรับ Pro Max



Super Retina XDR หน้าจอประหยัดพลังงานลง 15% มี Dolby Vision และ Dolby Atmos ใช้ชิป A13 Bionic เช่นเดียวกับ iPhone 11 มีหน่วยประมวลผล Machine learning ที่เร็วขึ้น 6 เท่า สามารถทำคำสั่งได้ 1 ล้านล้านคำสั่งใน 1 วินาที

และ iPhone 11 Pro ยังเป็นสมาร์ทโฟนที่มี Machine learning ดีที่สุดในขณะนี้ ใช้ซีพียูแบบประหยัดพลังงาน 4 คอร์, ซีพียูประสิทธิภาพสูง 2 คอร์ แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone Xs ถึง 4 ชั่วโมง และ Xs Max ถึง 5 ชั่วโมง และรองรับ Fast charge 18W แล้ว


กล้องหลังทั้งสามตัว ประกอบไปด้วยเลนส์ Wide f/1.8, ultra-wide f/2.0 และ เลนส์ tele f/2.4 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลทั้งสามตัว สามารถทำ Optical zoom 0.5x, 1x และ 2x มีเทคโนโลยี Deep Fusion กดถ่ายครั้งเดียว ถ่าย 9 ภาพ และนำมารวมกันจนได้ภาพละเอียดที่สุด



กล้องทั้งสามตัวสามารถบันทึกวิดีโอ 4K 60p คุณภาพเท่ากันทุกตัว สามารถทำ Optical Zoom และสามารถใช้ FilMic Pro แอปฯถ่ายวิดีโอที่ใช้ทั้ง 4 กล้องถ่ายพร้อมกัน และมอนิเตอร์ได้ 4 หน้าจอ

ราคาเริ่มต้นที่ $999 สำหรับ iPhone 11 Pro และ $1,099 ดอลลาร์สำหรับ 11 Pro Max เปิดจองศุกร์ที่ 13 กันยายน และเริ่มจัดส่งวันที่ 20 กันยายน

ส่วน iPhone XR ลดราคาเหลือ $599 และ iPhone 8 เหลือ $449
Deirdre O’Brien ได้ขึ้นมาบนเวทีและพูดถึง Apple Watch Studio ที่จะสามารถจับคู่สายและตัวเรือนของ Apple Watch ได้
มีระบบเครื่องเก่าแลกใหม่ที่สามารถผ่อนชำระได้(บางประเทศ) โดย iPhone 11 จะมีราคาเริ่มต้นเหลือเพียง $399 เท่านั้น

นอกจากนี้ยังประกาศเปิดตัว Apple Store สาขา Fifth Avenue ในนิวยอร์ก วันที่ 20 กันยายนนี้

สุดท้าย Tim Cook ได้กล่าวขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในงานนี้ และกล่าวปิดงาน Apple Special Event 2019