SCB CIO ประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นในช่วงสัปดาห์นี้ ยังคงผันผวน แม้นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า ชี้ยังมีปัญหาการเมืองสหรัฐฯ และสงครามการค้าที่อาจปะทุขึ้นอีก
ศูนย์วิจัย SCB CIO เปิดเผยว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับเพิ่มขึ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ส่งสัญญาณการฟื้นตัว ได้แก่ ดัชนี ISM ภาคการผลิต และภาคบริการ ยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงาน และการจ้างงานภาคเอกชน นอกจากนี้ดัชนีฯ ยังได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า จีนจะปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเช่นกัน หลังบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในยุโรป รายงานผลประกอบการออกมาแข็งแกร่ง ประกอบกับได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า นักวิจัยของจีนและอังกฤษ ได้ประกาศความสำเร็จในการคิดค้ายาต้านไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ แม้ว่าในภายหลังองค์การอนามัยโลก (WHO) จะออกมาแถลงยืนยันว่า ยังไม่มียาที่จะใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวก็ตาม
ขณะที่ตลาดหุ้นจีน A-share ปรับลดลงอย่างมากในช่วงแรก จากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ และกำไรภาคอุตสาหกรรมของจีนที่ออกมาชะลอลง อย่างไรก็ดี ดัชนีฯ ลดช่วงลบลง หลังทางการจีนทยอยออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากไวรัสดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบกว่า 1.6 ล้านล้านหยวน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน รวมทั้งมีรายงานว่า ทางการจีนมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้าชั้นดี (LPR) ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ และจะปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR) ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ส่วน ราคาน้ำมันดิบยังปรับลดลงต่อ เนื่องจากความกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลก แม้จะมีรายงานว่า กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตร กำลังพิจารณาลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมก็ตาม ด้านราคาทองคำปรับลดลงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังเริ่มคลายความกังวลต่อผลกระทบจากแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ และราคาทองคำยังถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวน แม้นักลงทุนได้เริ่มคลายความกังวลในระดับหนึ่ง เกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาด หลังทางการมีแนวโน้มออกมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากไวรัสดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง แต่จำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 ราย (มากกว่าตอนที่เกิดโรค SARS ระบาด) ได้ทำให้นักลงทุนกลับมากังวลต่อผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวอีกครั้ง
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นฯ อาจได้รับแรงสนับหนุนจาก ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญส่วนใหญ่ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะรายงานในสัปดาห์นี้ ที่มีแนวโน้มออกมาดี ประกอบกับ คาดว่า การแถลงการณ์ของ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต่อสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจเผชิญปัจจัยกดดันจาก ประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่ โดยวันที่ 11 ก.พ.นี้ จะมีการเลือกตั้งขั้นต้นของตัวแทนพรรคเดโมแครต ในรัฐ New Hampshire เพื่อสรรหาตัวแทนพรรคฯ เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย.นี้
รวมทั้ง นักลงทุนยังรอติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะประเด็นมาตรการคว่ำบาตรทางการค้ากับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ด้านราคาน้ำมัน มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นบ้าง โดยนักลงทุนรอติดตามว่า กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตร จะเลื่อนจัดการประชุมเร็วขึ้นจากเดิมในเดือน มี.ค. เป็นวันที่ 14-15 ก.พ.นี้ หรือไม่ และ มีแนวโน้มที่จะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อช่วยปกป้องราคาน้ำมันไม่ให้ร่วงลงต่อไป
อ่านข่าวอื่น FETCOคาดหุ้นไทยรีบาวด์ไตรมาส 2 แตะ 1,600 จุด เชื่อไวรัสโคโรนาถึงจุดพีคแล้ว