“ให้กำลังใจเถ้าแก่น้อยด้วยนะครับ”
นี่คือประโยคที่ต็อบ-อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) “TKN” ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่าย ภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” ย้ำบนเวทีการแถลงข่าวความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จับมือ โอริออน กรุ๊ป ประเทศเกาหลี แต่งตั้งบริษัทย่อย โอริออน คอร์ป (Orion Crop.) เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงผู้เดียวในประเทศจีน ซึ่งผู้บริหารหนุ่มเชื่อว่าจะเป็นไม้เด็ดในการพาเถ้าแก่น้อยทะยานไปอีกขั้น ดันยอดขายในจีนเพิ่ม 30% แถมเปิดตลาดเกาหลีใต้ และรัสเซียเพิ่ม สร้างยอดขาย 10,000 ล้านบาทในปี 2024 ตามเป้าหมาย
ต็อบ อิทธิพัทธ์
อย่างที่ทราบกันดีว่า ปี 2562 ที่ผ่านมา 3 ไตรมาส เศรษฐกิจโดยรวมไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร แม้แต่ในตลาดสแน็กบ้านเรา ซึ่งอิทธิพัทธ์ ยอมรับว่า ยอดขายยังไม่เติบโตตามเป้าที่วางไว้ แต่เชื่อมั่นว่าจากการที่ บริษัทได้มีการปรับปรุงโครงสร้างการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ส่งไปจำหน่ายในตลาดประเทศจีน โดยได้แต่งตั้งบริษัท โอริออน คอร์ป (Orion Crop.) ประเทศจีน บริษัทลูกของ โอริออนกรุ๊ป (Orion Group) เข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงผู้เดียว จากเดิมที่มีตัวแทนจัดจำหน่าย (Distributor) จำนวน 3 ราย เพื่อการดำเนินงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น จะส่งผลต่อการเติบโตอย่างต่อเนื่องในจีน ที่เป็นตลาดสำคัญอันดับหนึ่ง คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40 % ของยอดขายของบริษัท
นอกจากนี้ด้วยจุดแข็งของโอริออน กรุ๊ป (Orion Group) ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยว มานานกว่า 70 ปี โดยการเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าในหลายประเทศ ด้วยมาตรฐานการผลิตและระบบบริหารจัดการที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยมีฐานการผลิตและเครือข่ายการจัดจำหน่ายขนาดใหญ่ในประเทศจีนกว่า 30 ปีที่จะช่วยให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์ในด้านข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค, ข้อมูลตลาดสินค้า และช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศจีนมากยิ่งขึ้น
“เป้าหมายใหญ่ของบริษัทที่จะทะยานจากยอดขาย 5,000 ล้านให้เป็น 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2024 ยังคงอยู่ และผมเชื่อว่าเราจะทำได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งเข้ามาร่วม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้มีการเติบโตในตลาดจีนกว่า 30% รวมถึงการเข้าถึงตลาดใหม่ในเกาหลีใต้ และรัสเซีย”
นอกจากนี้ สิ่งที่อิทธิพันธ์มองว่า จะเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตให้ TKN นอกจากโอริออน จะมีกลยุทธ์และฐานตลาดหลักที่สำคัญ 4 ตลาด ประกอบด้วยจีน เวียดนาม เกาหลี และรัสเซีย ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของเถ้าแก่น้อยที่จะเติบโตในอนาคต ภายใน 2 ปีจากนี้ เถ้าแก้น้อยมีการพัฒนาโปรเจ็กต์ใหม่อยู่ 8 โปรเจกต์ ประกอบด้วยโปรเจกต์ที่เป็น Seaweed Product และ Non Seaweed Product ทั้งหมดอยู่ระหว่างการพัฒนา และคิดว่าจะคัดเลือกโปรเจกต์ที่เป็นไปได้ สามารถสร้าง Value added มาต่อยอดธุรกิจ เพื่อสร้าง New S curve ใหม่ให้กับเถ้าแก่น้อย คาดว่าภายในต้นปีหน้าจะได้เห็นโปรเจกต์แรก
“เรายังเห็นโอกาสเติบโตในธุรกิจสาหร่ายอีกมาก อย่างที่จีนเอง เฉพาะสาหร่ายมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของตลาดสแน็ก ซึ่งผมมองว่ายังมีโอกาสโตอีกเยอะ นอกจากตลาดจีนเรายังมองถึงการขยายเข้าไปในตลาดเกาหลี รัสเซีย ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงเช่นกัน แต่อาจจะรอให้ตลาดจีนเข้าที่ก่อน”
Inn Chul Hur ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Orion ซึ่งไม่ได้เดินทางมาร่วมงานด้วยตัวเอง แต่ให้สัมภาษณ์ผ่านคลิปวิดีโอ เผยถึงเหตุผลที่ร่วมมือกับเถ้าแก่น้อย เพราะมองถึงประโยชน์ในเชิงธุรกิจที่จะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน โดยมองว่าเถ้าแก่น้อยจะช่วยขยายฐานการจัดจำหน่ายของ Orion ตลอดจนช่วยในเรื่องของการทำตลาดสินค้าในกลุ่มขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายจากผลิตภัณฑ์ของเถ้าแก่น้อย และการทำตลาดในประเทศไทย และในอนาคตอาจมีการทำลักษณะ Co-Brand ร่วมกันอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม อิทธิพัทธ์ ทิ้งท้ายถึงเจ้าของธุรกิจที่เป็นคอนซูมเมอร์โปรดักส์ว่า ต่อให้ตลาดจะถดถอยอย่างไร เคล็ดลับสำคัญที่จะพาให้ธุรกิจอยู่รอดได้ คือ ต้องเข้าใจลูกค้าว่าต้องการอะไร และพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่าง เถ้าแก่น้อยเอง นอกจากจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับลูกค้ามากขึ้น ยังต้องก้าวให้ทันกับรสนิยมของลูกค้าที่เปลี่ยนจากในอดีตที่นิยมซื้อสินค้าจากช่องทางโมเดิร์นเทรด มาเป็นช็อปออนไลน์ เพราะฉะนั้นเราต้องพัฒนาสินค้าเพื่อให้ขายออนไลน์ได้
“สิ่งที่ผมเน้นย้ำคือ ต้องเข้าใจลูกค้านะครับ ที่สำคัญอย่ารอให้ลูกค้ามาบอก แต่เราต้องรู้ก่อน”