ธนาคารโลกประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ชี้มีโอกาสชะลอการเติบโตจนถึงปี 64 จากปัจจัยสงครามการค้ายืดเยื้อ ซึ่งกระทบการส่งออกและการผลิตในภูมิภาคเป็นวงกว้าง นอกจากนี้ยังประสบปัญหาจำนวนหนี้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของทุกประเทศในภูมิภาค
รานงาน East Asia and Pacific Economic Update ประจำเดือน ต.ค. 62 ภายใต้ชื่อ Weathering Growing Risks พบว่าอุปสงค์ของตลาดโลกที่อ่อนตัวลง รวมถึงอุปสงค์จากจีนที่ลดลงด้วยเช่นกัน ประกอบกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ส่งผลให้การเติบโตด้านการส่งออกและการลงทุนในภูมิถาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกลดลง ซึ่งเป็นบททดสอบความยืดหยุ่นในการรับมือด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก
อย่างไรก็ตาม ภูมิภาคนี้ไม่รวมจีน การบริโภคยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการเงินและการคลัง ขณะเดียวกันประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กในภูมิภาคยังเติบโตอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว อสังหาฯ และเหมืองแร่ สะท้อนให้เห็นถึงบริบทของแต่ละประเทศที่มีลักษณะเฉพาะตัว
ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกชะลอการเติบโตลงจากเดิมที่ร้อยละ 6.3 ในปี 61 ลดเหลือร้อยละ 5.8 ในปี 62 และร้อยละ 5.7 และ 5.6 ในปี 63 และ 64 ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตด้านการส่งออกและกิจกรรมด้านการผลิตที่ลดลงในวงกว้าง
นางวิคตอเรีย กวากวา รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก เปิดเผยว่า เมื่อการเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราการลดความยากจนก็จะลดลงด้วย ซึ่งขณะนี้ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าประชากรเกือบหนึ่งในสี่ของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกใช้ชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจนของประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงที่ 5.5 เหรียญสหรัฐต่อวัน คือประชากรเกือบ 7 ล้านคน ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเวลานั้นเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ยังคงเติบโตแข็งแรง
รายงานฉบับบนี้ระบุอย่างชัดเจนว่าความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลเสียต่อการเติบโตของเศรษฐกิจภูมิภาคนี้ในระยะยาว ขณะที่บางประเทศหวังว่าจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนรูปแบบการค้าโลกใหม่ แต่ความไม่ยืดหยุ่นของห่วงโซ่มูลค่าโลกทำให้ประเทศภูมิภาคนี้ไม่ได้รับประโยชน์จากเรื่องดังกล่าวในระยะใกล้
ด้าน นายแอนดรู เมสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวต่อว่า ในขณะที่บริษัทต่าง ๆ พยายามหาหนทางเพื่อหลบเลี่ยงภาษีศุลกากร ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจะสามารถทดแทนบทบาทของจีนในห่วงโซ่มูลค่าโลกได้ในระยะสั้น เนื่องจากการขาดโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอและกำลังการผลิตยังมีขนาดเล็ก
รายงานฉบับนี้ได้เตือนถึงความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะรุนแรงมากขึ้น ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยืดเยื้อจะส่งผลต่อการเติบโตของการลงทุนอย่างต่อเนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูงเศรษฐกิจจีนที่ลดการเติบโตเร็วกว่าที่คาดไว้ ปัญหาในภาคพื้นสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ รวมถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเรื่อง Brexit ที่ยังไม่ลงตัวอาจส่งผลให้ความต้องการสินค้าส่งออกภูมิภาคนี้ลดลงต่อไป
นอกจากนี้ ระดับหนี้ที่อยู่ระดับสูงและกำลังเพิ่มขึ้นในบางประเทศนั้น ส่งผลให้การใช้นโยบายการคลังและการเงินเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมีข้อจำกัดในการดำเนินการ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาวะการเงินโลกที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันสามารถทำให้การกู้ยืมมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น การเติบโตของสินเชื่อยังซบเซา และอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชนและการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาค
แม้ว่าเศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น รายงานนี้ได้ให้คำแนะนะแก่ประเทศต่าง ๆ ให้เตรียมความพร้อมรองรับการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมในการใช้มาตรการด้านการคลังหรือนโยบายการเงินเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยต้องปกป้องความยั่งยืนด้านการคลังและหนี้ไปพร้อม ๆ กัน ประเทศในภูมิภาคนี้จะได้รับประโยชน์จากการเปิดการค้า และจากการรวมตัวด้านการค้าในภูมิภาคให้มากกว่าเดิม
ความขัดแย้งการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ต้องปฏิรูปเพื่อปรับปรุงผลิตภาพและการเติบโตเศรษฐกิจ รวมถึงการปฏิรูปด้านกฎระเบียบข้อบังคับจะช่วยให้บรรยากาศการค้าและการลงทุนมีความสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งจะดึงดูดการเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้า เทคโนโลยี และการถ่ายทอดความรู้
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง “อีไอซี”หั่นประมาณการเศรษฐกิจเหลือ 2.8% จากปัจจัยสงครามการค้ายืดเยื้อ
