บลจ.เมอร์ชั่นฯ เชื่อ GDP ปี 62 มีโอกาสขยายตัวถึง 3% เนื่องจากเริ่มเห็นปัจจัยบวกหนุนเศรษฐกิจไทย คงเป้า SET Index ที่ 1,785จุด พร้อมเปิดโผ 12 หุ้นที่น่าสนใจในช่วงที่เหลือของปีได้แก่ PTT, PTTEP, SAWAD, MTC, CPALL, BJC, RS, WHA, AMATA, ROJNA, MINT และ CENTEL
นายประกิตติ สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า เชื่อว่า GDP ประเทศไทยในปี 62 มีโอกาสขยายตัวถึง 3% แม้ GDP ครึ่งปีแรกจะต่ำกว่าคาดการณ์ แต่ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา จากการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น และการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย โดยคาดว่าครึ่งหลังของปี 62 รายได้จากภาคเกษตรจะมีแนวโน้มดีขึ้นจากช่วงพ้นฤดุแล้ง และมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ทั้งนี้ การลงทุนในภาคเอกชนเริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นด้วยเช่นกัน คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีต่อเนื่องไปจนถึงปี 63 จากการเร่งออกมาตรการสนับสนุนการลงทุนไทยแลนด์พลัส ด้วยการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมเพื่อดึงดูด FDI ให้เข้ามา โดยต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในปี 63 และลงทุนภายในปี 64 ซึ่งหมายความว่าแพ็คเกจนี้จะช่วยกระตุ้นความต้องการอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรมในปี 62-64
อย่างไรก็ตาม ยังมีภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากปัจจัยสงครามการค้า ซึ่งอาจทำให้การส่งออกไทยติดลบในระดับ 1.5-2% และการแข็งค่าของเงินบาทอาจกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว แต่เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐฯ-จีน-ฮ่องกง-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ อาจทำให้ไทยได้อานิสงส์ นักท่องเที่ยวต่างชาติเปลี่ยนแผนมาเที่ยวไทยมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยงบประมาณ 3 แสนล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยดัน GDP ปี 62 ขึ้นได้อย่างน้อย 0.3% โดยในปี 63 รัฐบาลยังมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 3.2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นนโยบายงบประมาณขาดดุลจำนวน 4.69 แสนล้านบาท รายจ่ายประจำ 2.73 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุนจำนวน 6.55 แสนล้านบาท คาดว่าจะช่วยขยายเศรษฐกิจไทยทั้งปี 63 ในอัตรา 3-4%
ทั้งนี้ ยังมีสัญญานที่ดีจากการลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.เหลือ 1.5% คาดว่า กนง. อาจมีการลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งก่อนสิ้นปี 62 ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับลดดอกเบี้ยตาม กนง. ดังนั้นเศรษฐกิจจึงได้รับผลบวกจากภาระต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำลง และบางส่วนจะช่วยกระตุ้นการลงทุนได้อีกด้วย
ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยสำคัญอีก 3 ปัจจัยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและจะส่งผลดีกับตลาดหุ้นไทยดังนี้
1.สงครามการค้านำไปสู่สงครามค่าเงิน และจะทำให้ธนาคารกลางหลักๆของโลกเร่งใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ทั้งการลดดอกเบี้ยและการใช้ QE ถือเป็นเรื่องที่ดีกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมไปถึงตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน
2.อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เยอรมัน และอื่นๆ อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยจะทำให้เกิดการใช้งบประมาณขาดดุล การออกเร่งกู้ด้วยพันธบัตร ก่อให้เกิดนโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่
3.สภาวะหลีกหนีความเสี่ยงได้ทำให้กระแสเงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยมากเกินไป มองว่าสภาวะเช่นนี้จะอยู่ต่อไปอีกไม่นาน เมื่อโลกปรับตัวได้เรื่องสงครามการค้า และผ่อนคลายกับปัจจัยลบต่างๆ คาดว่ากระแสเงินจะตีกลับเร็วเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ปัจจัยทั้ง 3 จะเป็นตัวหนุนต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งเรายังคงเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,785 จุด โดยจากสถานการณ์ที่ได้กล่าวไปข้างต้นทำให้มีหุ้นที่น่าสนใจในช่วงที่เหลือของปี 62 ดังนี้
1.กลุ่มพลังงาน แนะนำ PTT และ PTTEP เนื่องจากเชื่อว่ากำไรครึ่งปีหลังจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก
2.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยต่ำประกอบด้วย SAWAD และ MTC
3.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลประกอบด้วย CPALL, BJC และ RS
4.กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตประกอบด้วย WHA, AMATA และ ROJNA
5.กลุ่มท่องเที่ยวจะได้ประโยชน์จากคาดการณ์นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี หุ้นที่แนะนำคือ MINT และ CENTEL