ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ 1,654.92 จุด ลดลง 3.3% จากสิ้นเดือนก่อน แต่เพิ่มขึ้น 5.8% จากสิ้นปี 2561 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในเดือนสิงหาคม 2562 อยู่ที่ 65,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยผู้ลงทุนต่างประเทศมีสถานะขายสุทธิ 54,263 ล้านบาท จากความกังวลสงครามการค้า
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในเดือนสิงหาคมตลาดหลักทรัพย์ไทยเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกับตลาดอื่นในภูมิภาคโดยได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน การประท้วงในฮ่องกง และความเสี่ยงที่อาจเกิด no-deal Brexit ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีการส่งออก เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ตลอดจนกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ผู้ลงทุนควรจับตามองความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกอย่างใกล้ชิด
ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยในเดือนสิงหาคม 2562 มีดังนี้
1. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562 ปิดที่ 1,654.92 จุด ลดลง 3.3% จากสิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 แต่เพิ่มขึ้น 5.8% จากสิ้นปี 2561 โดยกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มบริการให้ผลตอบแทนมากกว่า SET Index
2. ในเดือนสิงหาคม 2562 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย 54,263 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยสงครามการค้า และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเทขายของนักลงทุนต่างชาติ
3. มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในเดือนสิงหาคม 2562 อยู่ที่ 65,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
4. Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562 อยู่ที่ระดับ 16.5 เท่า และ 18.8 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า และ 15.6 เท่าตามลำดับ
5. อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562 อยู่ที่ระดับ 3.11% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ MSCI Emerging Market ที่อยู่ที่ 2.95%
6. มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2562 อยู่ที่ 17.9 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากสิ้นปี 2561 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของดัชนี
7. ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2562 มูลค่าการระดมทุนในตลาดแรก (IPO) ของไทยอยู่ที่ระดับ 22,839 ล้านบาท
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ในเดือนสิงหาคม 2562 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 504,536 สัญญา ซึ่งเพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตาม แม้ภาวะตลาดหุ้นปัจจุบันจะมีความผันผวนเป็นอย่างมาก แต่ยังเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนหากลงทุนในระยะยาว โดยเมื่อเทียบสถิติตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ด้วยอัตรา 143% ส่วนอันดับที่ 1 คืออินโดนีเซียที่อัตรา 251% ดังนั้นจึงอยากให้นักลงทุนมองการลงทุนในระยะยาวมากขึ้น