“สมศักดิ์” คุย “รวมไทยสร้างชาติ” เอ่ยปากชวนทั้งพรรคร่วมรัฐบาล “เพื่อไทย”
สมศักดิ์ เทพสุทิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่าได้พูดคยกับธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และอนุชา นาคาศัย สส.ชัยนาท พรรครวมไทยสร้างชาติ ฐานะอดีตสมาชิกกลุ่มสามมิตรให้ร่วมงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ได้แนะนำหากมาร่วมรัฐบาล ให้มาเป็นพรรคหรือทั้งหมด เพื่อให้สมศักดิ์ศรีของพรรคการเมืองและส.ส. โดยไม่แนะนำให้เป็นงูเห่า

ทั้งนี้ไม่มีประเด็นการพูดคุยให้ย้ายพรรค เนื่องจากตามกฎหมาย สส.ที่ย้ายพรรคต้องถูกขับออก หรือลาออกไปเลือกตั้งใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าประเมินแล้วหากไม่มี สส.จากพรรค2ลุงจะทำให้เสียงในสภาฯไม่มีเสถียรภาพใช่หรือไม่ สมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องดูตัวเลขทางคณิตศาสตร์ เมื่อเสียงกึ่งหนึ่ง คือ 250 เสียง แต่หากเสียงเกินนิดหน่อย จะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลยุ่งยากมาก เช่น กรณีมีญัตติสำคัญเสียงโหวตของฝั่งรัฐบาลอาจจะมีพอใจหรือไม่พอใจอยู่ หากไม่พอใจทั้งหมดทั้ง 250-270 คน หรืออาจจะมีคนไม่พอใจ 20-30 คน จะยุ่งเวลาโหวต ดังนั้นรัฐบาลต้องมีเสถียรภาพ มีเสียง 300 ขึ้นไป คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะได้ไม่ต้องพะวงเรื่ององค์ประชุมมากนัก
“ไผ่” เผย “พลังประชารัฐ” เท 40 เสียง โหวตนายกฯ “เพื่อไทย”
ไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงทิศทางการโหวตนายกฯของพรรค ว่าขณะนี้ไม่มีการทาบทามจากพรรคเพื่อไทย แต่กลุ่มเราปรึกษาหารือกันว่า ประเทศจำเป็นต้องมีรัฐบาลเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาไม่ว่าจะเป็นปัญหาในพื้นที่ ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ต้องได้รับการแก้ไข

จึงเล็งเห็นว่า จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐจะไม่ขาดแม้แต่คนเดียว ถ้าจะมาเราจะมาทั้งพรรค
ตนเคยทำงานกับพรรคเพื่อไทยเราเชื่อมั่นว่าจะผ่านวิกฤติทางการ เมืองและวิกฤติเศรษฐกิจไปได้
เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยด้วยหรือไม่ไผ่กล่าวว่า ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ แต่คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เราคิดว่าทำให้ผ่านตรงนี้ไปก่อนค่อยว่ากัน
“พิธา” เชื่อตัวเองยังมีสิทธิ์ได้รับการเสนอชื่อโหวตนายกฯอีกรอบ
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหากคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สามารถเสนอชื่อ พิธาในรอบที่สองได้ ว่าจะต้องรอดูคำสั่งศาลก่อนแต่ในข้อเท็จจริง ตามข้อบังคับที่ 41 หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็สามารถที่จะเสนอชื่อตนเองได้ เช่น หากมีการเสนอชื่อ ประกบคู่แข่งขันกันระหว่างตนเองกับคนอื่น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอคำสั่งศาลสามารถต่อสู้กันได้เลย

เชื่อว่าโอกาสที่จะเสนอชื่อยังมีอยู่ ต้องดูเวลาที่เหมาะสม แต่ตอนนี้ต้องให้เกียรติพรรคเพื่อไทยด้วย ซึ่งพรรคก้าวไกลส่งไม้ต่อไปแล้ว แต่ว่าเป็นคนละเรื่องที่จะโหวตหรือไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย และในตอนนี้จึงทำหน้าที่ได้เพียง เป็นกำลังใจให้กับ สส.ของพรรคก้าวไกล ที่ทำงานอยู่ พร้อมกับเตรียมลงพื้นที่หาเสียงการเลือกตั้งซ่อม จ.ระยอง
เมื่อถามว่าหากสุดท้ายแล้วพรรคก้าวไกลได้เป็นฝ่ายค้าน การตรวจสอบจะเข้มข้นอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า แน่นอนหน้าที่ใครหน้าที่มัน แต่อยากจะบอกว่าถ้าเป็นฝ่ายบริหาร จะทำงานได้เข้มข้นกว่า ต้องการที่จะเป็นฝ่ายบริหารที่ทำงานด้วยข้อมูล และรวดเร็ว ให้ได้ผลลัพธ์มากที่สุด และเปลืองภาษีประชาชนให้ได้น้อยที่สุด ใช้งบประมาณไม่ตรงกับความท้าทายของยุคสมัย อยากจะทำงานให้เห็นว่าประเทศไทยไปไกลได้มากกว่านี้ ฉะนั้นหากประทับใจ ความเข้มข้นของฝ่ายค้าน ถ้าเป็นรัฐบาลเข้มข้นกว่าแน่นอน
“สว.สมชาย” โพสต์ โหวตนายกฯรอบใหม่ 22 ส.ค.จับตาท่าที “เพื่อไทย”
สมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา(สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่า รอชมพท การแสดง+กก การละคร 22สค โหวตนายกคนที่30 วันเผยธาตุแท้นักการเมืองไทย

พร้อมติดแฮชแท็ก #ดีลลับฮ่องกง #ล้มรธนปราบโกง #ปฏิบัติการพาลุงโทนี่กลับบ้าน
ม้วนเดียวจบหรือม้วนเดียวจอด
ทั้งนี้ต้องจับตาการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญหลังมีการเลื่อนพิจารณาสั่งคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ขอให้พิจารณากรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบกับการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
โดยศาลนัดพิจารณาครั้งถัดไปในวันที่ในวันที่16ส.ค.นี้ ต้องจับตา3แนวทางที่ศาลจะมีการพิจารณา
1 ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่รับคำร้อง
2.ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง แต่ไม่มีคำสั่ง ให้ชะลอการโหวตนายกฯ
3.ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง และมีคำสั่ง ให้ชะลอการโหวตนายกฯ
ซึ่งหากเป็นแนวทางที่1และ2ประธานรัฐสภาจะมีการนัดประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกฯต่อไป
“ผบ.ตร.” ปรับวิธีรับมือม็อบการเมือง ชี้ผู้ชุมนุมเป็นเด็กไม่ควรใช้วิธีรุนแรง
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่ง ( ผบ.ตร.) เปิดเผยกรณี อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ฝากคำถามถึง ผบ.ตร. กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมบุกไปที่พรรคเพื่อไทยและก่อความวุ่นวายแต่ตำรวจกลับยืนดูเฉยๆ ไม่ทำอะไรว่า เท่าที่ได้รับรายงานตำรวจที่ดูแลความเรียบร้อยไม่ได้ยืนเฉยๆ

แต่เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นของเอกชนและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือ รปภ. ตำรวจจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ รปภ.ก่อน แต่ไม่ได้คาดการณ์ว่า จะมีเหตุรุนแรงหรือการขวางรถ ยอมรับว่าการทำหน้าที่ของ รปภ.กับตำรวจ ในพื้นที่เอกชนไม่สอดประสานกัน ซึ่งหลังเกิดเหตุตนเองได้กำชับให้ประสานงานกันและเข้าระงับเหตุเบื้องต้นทันที แต่วันนั้นเป็นครั้งแรกตำรวจไม่แน่ใจว่าความต้องการของเอกชน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่หน้างานไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่ด้วย
ยอมรับว่าบางกรณีตำรวจก็ค่อนข้างทำงานยาก เพราะหากผู้ชุมนุมเป็นเด็กหรือผู้หญิงการตัดสินใจทำอะไรรุนแรงไปก็จะถูกครหาได้ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่ใช่อาชญากรรมพื้นฐาน เป็นเรื่องความเห็นต่างก็ต้องพิจารณาและปรับตามความเหมาะสม แต่ยืนยันว่าทุกคนที่กระทำผิดกฎหมายก็จะต้องถูกดำเนินคดี แต่กรณีที่ผู้ชุมนุมมีการทำร้ายตำรวจ สาดสีตำรวจ ถ้าคนไม่เยอะได้สั่งการให้จับกุม แต่ถ้าเป็นเด็กก็ต้องดูตามความเหมาะสม นำเอาบทเรียนต่างๆ มาปรับและดำเนินการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป