นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ปาฐกถาพิเศษ ในงาน Business Today Dinner Talk “ดิจิทัล ทรานฟอร์มประเทศไทย” ในงานเสวนา Thailand Transformation รวมพลังทีมเศรษฐกิจรัฐบาลประยุทธ์ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย โดยระบุว่า
การเปลี่ยนแปลงของโลก มันไมได้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเดียว แต่มันกระทบความเป็นอยู่ของทุกคน เริ่มจากผู้สูงอายุ เช่นคนรุ่นพ่อแม่เราจะติดสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และมีความสุขกับการอ่านไลน์จากกรุ๊ปไลน์เพื่อนเก่าๆ ที่รู้จักกันมาเมื่อ 40-50 ปีก่อน
สิ่งแรกที่ต้องปรับคือ ทำอย่างไรให้ดิจิทัลนำไปสู่การปฎิบัติและเข้าถึงของคนทั้งประเทศ
คน 30 ล้าน ยังอยู่ในอาชีพเกษตรกร 5 ปี ผ่านมาเราวางโครงสร้างบรอดแบรนด์ และใช้เทคโนโลยี แต่ธุรกิจต่างๆ ที่ได้ใช้กลับเป็นคนชั้นกลางขึ้นไปเท่านั้น
วันนี้วิธีคิดของเราคือ ทำอย่างไรก็ได้ที่ให้ประชาชนทั้งประเทศได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี
โดยเราแบ่งแนวคิดเป็น 5 เรื่องหลักๆ คือ
1.FinTech ใช้เทคโนโลยีมาผลักดันวงการการเงิน
2.EdTech ใช้เทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการศึกษา ให้ประชาชนเข้าถึงระบบการศึกษาได้ง่ายขึ้น
3.HealthTech ใช้เทคโนโลยีกับสุขภาพ ทำให้ประชาชนมีอายุยืนขึ้น การรักษาพยาบาลรวดเร็วขึ้น แม่นยำขึ้น
4.AgriTech ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยการเกษตร
5.Government Tech คือการนำ Big Data มาใช้ โดยเราจะเริ่มทำยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวก่อน เพราะไทยมีศักยภาพการท่องเที่ยวดีที่สุด ซึ่งการเอาข้อมูลมารวมกัน มีคนได้ประโยชน์ 3 กลุ่ม คือ
-รัฐบาล สามารถนำตัวเลขจาก Big Data มาคิดในการจัดงบประมาณได้
-ประชาชน สามารถศึกษาได้ว่า มีงบประมาณท่าไหร่ จะเที่ยวที่ไหนได้ ทานอาหารที่ไหน เดินทางอย่างไร ประชาชนสามารถจัดงบประมาณของตัวเองได้
-ภาคธุรกิจ จะรู้ว่าควรลงทุนกับธุรกิจอะไรในพื้นที่ตัวเอง จากข้อมูลของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในพื้นที่
ด้านกลุ่มสาธารณะสุข เราจะเชื่อมระบบโรงพยาบาลรัฐและเอกชน นำข้อมูลคนไข้ไว้ในระบบ Cloud โดยประชาชนเป็นผู้เก็บข้อมูลของตัวเอง ไม่ต้องกลัวข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล
ประเทศไทยเรามีคนเก่งเยอะมาก 80% ของงานถูกพัฒนาโดยคนไทย แต่ลูกค้าส่วนใหญ่กลับเป็นคนต่างชาติ
เราเตรียมพื้นที่ไว้ 700 ไร่ เพื่อทำ Digital Park เรามีเตรียมพื้นที่ 30 ไร่ไว้สำหรับกระทรวงดีอี เพื่อทำสถาบัน IoT แต่เราอยากเปลี่ยนเป็น Digital Valley เพราะในภูมิภาคนี้เวลาใครจะเข้ามาทำธุรกิจด้านดิจิทัล เขาจะมาประเทศไทยก่อน แต่เวลาไปจดทะเบียนกลับไปที่สิงคโปร์ เพราะกระบวนการมาตรฐานภาษีเราไม่ชัดเจน และการจดจัดตั้งบริษัทไม่ชัดเจน แต่สิงคโปร์มีความชัดเจนมากกว่า
เราได้คุยกับ BOI เรื่องการเปลี่ยนสิทธิประโยชน์ ทำให้เราแข่งกับคนอื่นได้ เพราะถ้าเราไม่ปรับ คนจะหนีไปเวียดนามหมด วันนี้เราต้องปรับนโยบาย เพื่อดึงอุตสาหกรรมดิจิทัลให้มาอยู่กับเรา
เราต้องรีสกิล แลอัปสกิลคนงานของเรา เพราะเราต้องการคนงานในปีหน้ามากถึง 40,000 คน ภายใน 2 ปี อาจจะต้องการมากถึง 180,000 คน เราได้จับมือกับนิคมอุตสาหกรรม ให้คนในนิคมปรับตัว เพิ่มเติมทักษะแรงงาน เพราะเราจะรอให้เด็กรุ่นใหม่เรียนจบไม่ได้
อีกเรื่องที่อยากพูดถึงคือเรื่องการใช้โซเชียลมีเดีย ผมเข้ามาทำงานไม่ถึงเดือน แต่ถูกตั้งชื่อว่าเป็น รมต.เฟคนิวส์ ซึ่งจริงๆ มันเกิดมาตั้งนานแล้ว
การนำเสนอข่าวแต่ละครั้งนั้น ผู้สื่อข่าวต้องมีจรรยาบรรณ ในองค์กรต้องมีความรักในอาชีพ มีการกรองหลายขั้นตอนเพื่อความไม่ผิดพลาด
แต่ด้วยเทคโนโลยีทำให้ทุกคนสามารถเป็นนักข่าวได้ ไม่ต้องมีจรรยาบรรณก็ได้ ยิ่งแต่งเติมมากเท่าไหร่ ยิ่งได้ยอดแชร์เยอะ สื่อมวลชนที่มีคุณภาพ จึงไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะมันเกิดขึ้นทุกวัน
เราจึงได้จัดตั้งศูนย์ป้องกันข่าวปลอม เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม เราหวังว่าเมื่อศูนย์นี้แข็งแรง เราจะปล่อยให้ศูนย์นี้ดูแลกันเอง ส่วนเรื่องการใช้กฎหมาย เราจะแยกออกมา
ส่วน 5G จะเกิดขึ้นแน่นอน ในปี 2020 และจะไม่ได้มีไว้สำหรับการใช้สมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่ 5G จะเข้ามามีความสำคัญมากต่อระบบอุตสาหกรรมในไทย และจะมีความสำคัญมากกับการลงทุนในประเทศไทย นักลงทุนจะเลือกประเทศไทยหรือไม่เพราะระบบ 5G เพราะบริษัทเหล่านั้นจะต้องใช้ 5G ในระบบการผลิต
นอกจากนี้ 5G ยังจะเข้ามามีผลกับชีวิตประจำวันของทุกคนอีกด้วย
