HomeBT Newsย่อข่าวธุรกิจในประเทศ 9 สิงหาคม 2566

ย่อข่าวธุรกิจในประเทศ 9 สิงหาคม 2566


นายกฯชื่นชมกองทุนหมู่บ้าน สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก

วานนี้ (8 สิงหาคม 2566) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณหน้าตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมกิจกรรมการกระตุ้นและพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการโคล้านครอบครัว จากนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.)

- Advertisement -


นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้รับชมการนำเสนอผลผลิตจากโครงการโคล้านครอบครัว ซึ่งเป็นเนื้อโคเกรดพรีเมี่ยมและผลิตภัณฑ์จากโค ที่ผ่านการทดลองเลี้ยงและดูแลตามโครงการโคล้านครอบครัว โดยนายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมความสำเร็จของการดำเนินโครงการ ถือเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน ขอเพียงทุกคนมีความตั้งใจก็จะประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แนะนำให้นักวิชาการเข้ามาช่วยเรื่องการแปรรูป รวมถึงการรักษาคุณภาพเนื้อโค พัฒนาคุณภาพและสายพันธุ์ให้ตรงตามความต้องการของตลาด ซึ่งเชื่อว่าคุณภาพและเนื้อโคของประเทศไทยมีคุณภาพที่ดีไม่ด้อยกว่าใคร นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมแนวคิดการผลิตผ้าจากมูลโค ขอให้ทุกคนร่วมมือ ช่วยกันคิดช่วยกันทำ นำประโยชน์จากสิ่งของที่มีในท้องถิ่นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ และใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ในการสร้างช่องทางการตลาด


รัฐบาลปูทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกระดับรายได้ต่อหัวภายใน 4 ปี

วันนี้ (วันที่ 9 สิงหาคม 2566) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลทำงานต่อเนื่องตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับหอการค้าไทย กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งตั้งเป้าหมายยกระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (Gross Provincial Product: GPP) ตัวเลขครัวเรือนยากจน และรายได้ต่อหัวประชากร ให้ดีขึ้นภายใน 4 ปี


ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ และหอการค้าไทย จะเป็นกลไกการขับเคลื่อนสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและการพัฒนาอีกหลายๆด้านในพื้นที่ โดยหอการค้าไทยจะเป็นศูนย์กลางและที่ปรึกษาการทำงานจากเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ในสามด้านด้วยกัน คือ 1) การค้าและการลงทุน 2) การเกษตรและอาหาร และ 3) การท่องเที่ยวและบริการ


นายกฯลงพื้นติดตามโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก

นางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดระยอง ในวันพุธที่ 9 สิงหาคม 2566 โดยมีกำหนดการ ดังนี้


ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีติดตามความก้าวหน้าโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ณ สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) อำเภอวังจัทร์ จังหวัดระยอง โดยนายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะ พร้อมรับฟังรายงานความก้าวหน้าการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และเยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะติดตามแนวทางการพัฒนาสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ณ สถาบันวิทยสิริเมธี อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง

ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมบตาพุด ระยะที่ 3 ณ สำนักงานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง จากนั้น นายกรัฐมนตรีจะตรวจเยี่ยมโครงการนำพลังงานความเย็นเหลือใช้จากการเปลี่ยนสถานะของก๊าซเหลว (LNG) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกพืชพันธุ์ไม้เมืองหนาวและต่อยอดด้านการเกษตรเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ณ อาคารนิทรรศน์พรรณพฤกษา อำเมืองระยอง จังหวัดระยอง เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร


ครม.เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 13

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ว่า ครม.เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค (APEC Energy Ministers’ Statement) ครั้งที่ 13 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 15 – 16 สิงหาคม 2566 ณ เมืองชีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริก การประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “Creating a Resilient and Sustainable Future for All”


ซึ่งเป็นเวทีในการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐมนตรีพลังงาน 21 เขตเศรษฐกิจเอเปคในการส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ อาทิ การแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานในปัจจุบันและอนาคต การรับมือกับความท้าทายต่อความมั่นคงด้านพลังงาน การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน

ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค (APEC Energy Ministers’ Statement) ครั้งที่ 13 นี้ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีพลังงานเอเปคในการกำหนดทิศทางและวางกรอบนโยบายความร่วมมือด้านพลังงานร่วมกัน ซึ่งมีความสอดคล้องกับการขับเคลื่อนความร่วมมือตามเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bangkok Goals on Bio-Circular-Green Economy: BCG) และวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 (APEC Putrajaya Vision 2040) ที่มุ่งเน้น “การเปิดกว้าง มีพลวัต พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง และมีสันติภาพ” เพื่อให้เขตเศรษฐกิจเอเปคสามารถบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานของเอเปค (APEC Energy Goals) ได้แก่ 1)เป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็น 2 เท่าภายในปี ค.ศ.2030 2)เป้าหมายการลดค่าความเข้มของการใช้พลังงาน (Energy Intensity) ลงร้อยละ 45 ภายในปี ค.ศ.2035 เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ 3)เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่มีความยั่งยืนร่วมกัน


ครม.อนุมัติ 2,995.95 ล้านบาท ตอบแทนเสี่ยงภัยบุคลากรทางการแพทย์

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 8 ส.ค. 66 ได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 2,995.95 ล้านบาท


เพื่อเป็นค่าตอบแทนเสี่ยงภัยแก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานระหว่างเดือน ก.ค. 64- มิ.ย. 65 ของหน่วยงานกระทรวงสาธารณสุขและนอกสาธารณสุข รวม 8 หน่วยงาน ดังนี้

1) กระทรวงสาธารณสุข 1,362.77 ล้านบาท 2) กระทรวงการอุดมศึกษาฯ 561.46 ล้านบาท 3) กระทรวงกลาโหม 385.10 ล้านบาท 4) กระทรวงมหาดไทย 420.39 ล้านบาท 5) กระทรวงยุติธรรม 92.16 ล้านบาท 6) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 52.16 ล้านบาท 7) สภากาชาดไทย 111.78 ล้านบาท และ 8) โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ 10.13 ล้านบาท

Business Today
Business Todayhttps://businesstoday.co
Supporting Thailand's business communities./ FB Page: Business Today Thai/ Social: Business Today Thai (สำหรับ Twitter, YouTube, Telegram)/ LINE: @Business today/ เว็บที่เกี่ยวข้อง: Thailand Today: www.thailandtoday.co/ FB: Thailantoday.co (English)/ Thailand Today News: www.thailandtoday.news/ FB: Thailandtoday.news (Mandarin Chinese)

Latest

ติดตามข่าวสารอัพเดททันใจจาก Businesstoday ได้โดยกรอกอีเมลด้านล่าง

Related News