อีไอซีปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 62 และ 63 ในระดับ 2.8% จากปัจจัยสงครามการค้ายืดเยื้อซึ่งกระทบการส่งออกไทยในวงกว้าง คาดปี 62 หดตัว -2.5% ส่วนปี 63 ขยายตัว 0.2% ชี้การบริโภคภาครัฐรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีบทบาทต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 63
นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า อีไอซีได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2562 เหลือ 2.8% จากประมาณการเดิมที่ 3.0% โดยมีสาเหตุหลักจากภาวะสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ รวมถึงผลกระทบสะสมของการตั้งกำแพงภาษีระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา เริ่มส่งผลเป็นวงกว้างมากขึ้นในหลายประเทศ โดยผลกระทบในระยะหลังไม่ได้กระจุกตัวเพียงแค่การผลิตภาคอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศ และการลงทุน แต่เริ่มกระจายตัวทำให้ภาคบริการชะลอลงอีกด้วย
นอกจากนั้น ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศค่อนข้างมาก เช่น เยอรมนี ฮ่องกง และ สิงคโปร์ ซึ่งจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวและความเสี่ยงด้านต่ำสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อประคับประคองการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
รวมถึงหลายประเทศที่มีความสามารถในการทำนโยบายการคลัง เริ่มมีการออกมาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน ซึ่งจากปัจจัยข้างต้น อีไอซีประเมินว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง และเมื่อรวมกับการแข็งค่าของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง จะทำให้ภาคการส่งออกและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในรูปของเงินบาทได้รับผลกระทบ
ดังนั้น อีไอซีจึงมีการปรับลดประมาณการอัตราขยายตัวของมูลค่าส่งออกเป็นหดตัวที่ -2.5% ขณะที่ภาคท่องเที่ยว แม้จะคงคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่ 40.1 ล้านคน แต่มีการปรับลดประมาณการค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวตามการแข็งค่าของเงินบาท ด้านอุปสงค์ในประเทศ สัญญาณการชะลอตัวของการใช้จ่ายภาคเอกชนชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะยอดขายที่อยู่อาศัยในภาคอสังหาริมทรัพย์และยอดขายรถยนต์ที่หดตัว ตามภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงสะท้อนจากการจ้างงานที่หดตัวโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม รายได้ภาคการท่องเที่ยวและภาคเกษตรที่ซบเซา และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดต่ำลง
รวมทั้งความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจากสัญญาณคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงและมาตรการกำกับดูแลการให้สินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ประกาศในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อีไอซีประเมินว่าจะมีผลช่วยพยุงการใช้จ่ายสินค้าไม่คงทนในช่วงที่เหลือของปี 2562 เป็นสำคัญ
อย่างไรก็ดี ความล่าช้าของการผ่าน พรบ. งบประมาณปี 2563 จะกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนภาครัฐในส่วนของโครงการใหม่ โดยปี 2563 อีไอซีคาดเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 2.8% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวต่อเนื่องและภาระหนี้ครัวเรือนที่จะกดดันกำลังซื้อในประเทศ ความเสี่ยงด้านต่ำจากผลกระทบของสงครามการค้าที่ยืดเยื้อและความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง
ดังนั้นอีไอซี ประเมินว่าการฟื้นตัวของการส่งออกไทยจะเป็นไปอย่างช้า ๆ (0.2% ในปี 2563) ในส่วนของภาคอุปสงค์ในประเทศ อีไอซีคาดการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากปี 2562 เล็กน้อย ตามอุปสงค์ของการส่งออกที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน ประกอบกับการก่อสร้างภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนมีทิศทางชะลอลงเช่นกันจากหลายปัจจัยกดดัน ได้แก่ ภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการบริโภคของภาครัฐรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจะมีบทบาทมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2563
ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปมาจากทั้งภายในและภายนอก โดยสงครามการค้ายังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นได้อีกและอาจทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบมากกว่าที่คาด ซึ่งส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2563 อาจชะลอลงมากกว่าคาด นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่ต้องจับตาคือความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น Brexit การประท้วงในฮ่องกง และความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่อาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอเพิ่มเติม และอาจเกิดความผันผวนในตลาดเงินโลกได้
ขณะที่ความเสี่ยงภายในประเทศมาจากความเปราะบางทางการเงินที่มีมากขึ้นทั้งในส่วนของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SME สะท้อนจากระดับหนี้เสีย (NPL) ทั้งในส่วนของสินเชื่ออุปโภคบริโภคและสินเชื่อธุรกิจ SME ที่โน้มสูงขึ้นจากผลกระทบสะสมของภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น รายได้ที่ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ทำให้ยอดขายของธุรกิจและรายได้ของครัวเรือนมีแนวโน้มกระจุกตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณ รวมถึงประสิทธิภาพในการเบิกจ่ายของภาครัฐ ก็ยังเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงภายในสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : “ฟิทช์ เรทติ้ง” มองไทยอย่างไร? ทำไมขยับเรทติ้งไทยขึ้น