“เศรษฐา” ผุดไอเดียให้ราชการใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้ทดลองนั่งรถยนต์เก๋ง EV ป้ายแดง ยี่ห้อ BYD Seal รุ่นเพอร์ฟอร์แมนซ์ 3.8 เอส 530 แรงม้า หมายเลขทะเบียน ภ – 1192 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวมาให้ทดลอง

โดย นายเศรษฐาได้ทดลองนั่งที่เบาะหลัง แต่ด้วยรูปร่างสูง ทำให้การขึ้นลง เป็นไปด้วยความยากลำบาก และเมื่อมาทดลองนั่งที่เบาะคนขับ ก็ไม่สามารถวางเท้าที่คันเร่งได้ แม้ว่าจะเลื่อนเบาะมาจนสุดแล้วก็ตาม
จากนั้นนายกฯ กล่าวว่า รถคันนี้ 530 แรงม้า แรงกว่ารถยนต์ปอร์เช่ ราคาประมาณ 1,599,000 ล้านบาท คันที่นำมาเป็นตัวท็อป ชาร์จครั้งหนึ่งวิ่งได้ 650 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ที่บ้านตนก็มีรถไฟฟ้า มีเทสลา มีเฟียต และอาวดี้ซึ่งได้คืนบริษัทไปแล้ว แต่ไม่มียี่ห้อบีวายดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า โอกาสที่จะให้หน่วยงานราชการนำรถมาใช้ให้มากขึ้น มีมากน้อยเพียงใด นายกฯ กล่าวว่า ถือเป็นความคิดที่ดี และต้องดูเรื่องของงบประมาณด้วย เพราะอายุการใช้รถเดิมเขาก็มี ถ้าหมดอายุก็เป็นข้อเสนอแนะที่ดี ฝากให้ฝ่ายเลขานุการเตือนด้วยจะได้นำไปสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วยว่าขอให้พิจารณาลองรถไฟฟ้าเข้ามาใช้ และต้องดูเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ ทำให้อากาศสะอาดมากขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ระหว่างใช้รถน้ำมันกับอีวี รู้สึกต่างกันหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เรื่องเพอร์ฟอร์มเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ตนคิดว่าหลักการมากกว่า เพราะทุกวันนี้เราคิดว่ารถอะไรสวย ไม่สวย แต่เรามาคิดถึงประโยชน์ของมันจะดีกว่า นำพาเราจากจุด ก.ไปจุด ข.ได้ โดยที่ทำให้โลกสะอาดขึ้น ตนคิดว่าน่าสนับสนุน ไม่ใช่ตนจะมาโฆษณารถ แต่มาโฆษณาคอนเซปต์ว่าอีวีนั้นเป็นอนาคตที่ดี และเป็นเรื่องที่รัฐบาลสนับสนุนอยู่แล้ว ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี และเห็นอยู่แล้วว่ามีผู้ผลิตหลายรายที่กำลังทำออกมาได้ดีหลายคัน
“เฉลิม” อัด “เศรษฐา” อย่ายุ่งเรื่องตัดขาด “ทักษิณ”
เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการประกาศตัดขาดกับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเศรษฐาเลย เป็นเรื่องระหว่างตน กันทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เท่านั้น ถ้าผู้สื่อข่าวมาถามความเห็นเศรษฐาก็ควรตอบว่าไม่รู้ ไม่ใช่มากล่าวถึงที่มา ความเป็นมาของตนกับทักษิณแบบนี้ จะเป็นนายกฯ ก็เป็นไป แต่เชื่อว่าถ้าเป็นแบบนี้รัฐบาลจะพังในอีกไม่นานไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.เฉลิม ได้เผยแพร่เอกสารใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ลงวันที่ 21 สิงหาคม โดย นพ.ฤกษ์ชัย ตุลยาภรณ์โชติ ถึงเหตุผลในการไม่ไปลงมติเลือกศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา พร้อมหนังสือแจ้งลาประชุม ถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 21-24 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยอ้างถึงใบรับรองแพทย์ดังกล่าว โดยระบุว่ามีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมีเส้นเลือดในสมองตีบ ได้ทำบอลลูนเส้นเลือดในสมองไปแล้ว ขณะนี้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย เครียดจากการทำงาน และจากตัวโรคเดิม จึงแนะนำว่าให้หยุดพักผ่อน ตั้งแต่วันที่ 21-25 สิงหาคม ที่ผ่านมา
“สุดารัตน์” ขอบคุณ “ก้าวไกล” แบ่งโควตา กมธ.ให้ “ไทยสร้างไทย”
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงกรณีที่ พรรคก้าวไกล จัดสรรโควตา ประธานกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม โดยให้ฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ทำหน้าที่เป็นประธาน เพื่อมุ่งหวังให้พรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนหลัก ร่วมกันทำงาน ด้วยบรรยากาศที่เป็นไปได้ด้วยดีนั้น พรรคไทยสร้างไทย ต้องขอบคุณพรรคก้าวไกล ที่จัดสรรโควตา มาให้กับพรรคไทยสร้างไทย ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงาน ในคณะกรรมาธิการที่ดี และเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในมิติต่างๆ

ซึ่งจากบทบาทหน้าที่ที่ได้รับ พรรคสร้างไทยจะทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งการแสวงหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับการวางแผน และการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิจัยและนวัตกรรม ขณะเดียวกันได้กำชับ สส. ให้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ กรรมาธิการ คณะที่ตนเองสังกัดอย่างเต็มที่ ประกอบด้วย ฐากร ตัณฑสิทธิ์ ประธานคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม ชัชวาล แพทยาไทย โฆษกคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ รำพูล ตันติวณิชชานนท์ รองประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สุภาพร สลับศรี กรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการคมนาคม หรั่ง ธุระพล กรรมาธิการและที่ปรึกษา คณะกรรมาธิการการกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ เป็นต้น
“ชลน่าน” สั่งตั้งศูนย์เยียวยาจิตใจเหยื่อเหตุการณ์พารากอน
วานนี้ (5 ต.ค.) ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต และอัมพร โชติรัชสกุล ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามพารากอน ร่วมกันแถลงข่าวเปิดศูนย์ดูแลเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์กราดยิง หรือ Care D+ Space (ศูนย์แคร์ดีพลัสสเปซ) ณ จุดบริการนักท่องเที่ยว ฝั่งทิศใต้ ชั้น G ของศูนย์การค้าสยามพารากอน เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา

นับเป็นบาดแผลที่ยากจะลืมของผู้สูญเสีย หลังเกิดเหตุคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขและกรมสุขภาพจิตได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และเข้าเยี่ยมดูอาการผู้บาดเจ็บ รวมถึงญาติผู้สูญเสีย พร้อมส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤติ (MCATT) ที่เป็นทีมสหวิชาชีพจากหน่วยงานสังกัดกรมสุขภาพจิต และสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ จัดตั้งศูนย์ดูแลเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งมีผู้ใช้บริการกว่า 1 แสนคนต่อวัน ทันที ซึ่งพบว่าผู้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2566 มีผู้เข้ารับการประเมินทั้งสิ้น 23 ราย มีความเสี่ยงสูงจำนวน 9 ราย มีความเสี่ยงปานกลาง 11 ราย และมีความเสี่ยงต่ำ 1 ราย โดยทีมสหวิชาชีพได้ให้คำแนะนำคำปรึกษาการดูแล จิตใจ การปฐมพยาบาลทางใจ
สำหรับศูนย์ดังกล่าว จะเปิดให้บริการแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ ประชาชนทั่วไป ตลอดจนนักท่องเที่ยว เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ตั้งแต่ 10.00-20.00 น. โดยจะให้การดูแลเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤติ ตั้งแต่การประเมินเบื้องต้น การให้คำปรึกษา การให้ยารักษาอาการเบื้องต้น รวมถึงการส่งต่อไปยังสถานบริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวช ในกรณีที่ผู้ประสบเหตุมีภาวะอาการทางจิตเร่งด่วนฉุกเฉินรุนแรง ทางศูนย์จะมีเจ้าหน้าที่โทรศัทพ์ติดตามประเมินอาการ และแนะนำเข้าสู่ระบบการรักษา
“วทันยา” จี้รัฐบาลเร่งแก้กฎหมายอาวุธปืน สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยวที่มาไทย
วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘เดียร์ วทันยา บุนนาค’ และทวิตเตอร์ @dearwatanya ถึงแนวทางที่รัฐบาลควรปฏิบัติเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว หลังเหตุการณ์ยิงที่สยามพารากอน โดยมีเนื้อหาดังนี้

ในภาวะที่เศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้นตัว รัฐบาลควรจัดการเหตุยิง #พารากอน อย่างไรเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา?!?! ข้อแรก ต้องประกาศ #กวาดล้างปืนเถื่อน และบังคับใช้กฎหมายครอบครองอาวุธปืนให้เข้มงวด
จากสถิติพบว่าประเทศไทยถือครองปืนมากที่สุดในอาเซียน และมีปืนเถื่อนอยู่กว่า 4 ล้านกระบอก แม้จะมี พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ที่กำหนดโทษการครอบครองปืนเถื่อนไว้ทั้งจำคุก 1-10 ปีและปรับ 2,000-20,000 บาท แต่ยังขาดการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง ถ้ารัฐบาลประกาศกวาดล้างปืนเถื่อนให้สิ้นซากภายในระยะเวลาเร่งด่วน เช่น 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนจะยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาไทยได้มากขึ้น