นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังประเมินว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยยังไม่เป็นประเด็นที่น่ากังวล แม้ระดับหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 1/62 จะอยู่ในระดับสูงที่ 78.7% ต่อ GDP หรือ 12.97 ล้านล้านบาท แต่ถือว่าลดลงเมื่อเทียบกับระดับหนี้ครัวเรือนที่เคยสูงสุดที่ 81.2% ต่อ GDP เมื่อปี 2558
โดยหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน เช่น ที่พักอาศัย รถยนต์ ซึ่งหนี้เหล่านี้เพื่อเป็นหนี้เพื่อการสะสมความมั่งคั่งในรูปทรัพย์สิน และเพื่อการลงทุนทำธุรกิจหารายได้ ก็จะส่งผลดีต่อความมั่นคงของรายได้ครัวเรือน
ขณะที่หนี้ครัวเรือนบางส่วนใช้เพื่อประกอบธุรกิจ ถือเป็นสินเชื่อที่สร้างรายได้ให้ครัวเรือนด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อหักสินเชื่อธุรกิจนี้ออก ระดับหนี้ครัวเรือนไทยจะลดลงมาอยู่ที่ 65.8% ต่อ GDP ส่วนสัดส่วนหนี้ครัวเรือนเพื่อการบริโภค เช่น สินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต อยู่ในระดับต่ำเพียง 6.3% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับต่ำเช่นกันที่ 3.3%
โดยหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและมีวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อสินทรัพย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ (ร้อยละ 29.2) รถยนต์และรถจักรยานยนต์ (ร้อยละ 15.4) นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อเพื่อการดำเนินธุรกิจ (ร้อยละ 16.4) สหกรณ์ (ร้อยละ 15.6)และสินเชื่ออื่นๆ (ร้อยละ 17.1) ทั้งนี้หากไม่รวมหนี้ที่ครัวเรือนกู้ยืมไปเพื่อทำธุรกิจ หนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส 1 ปี 2562 จะอยู่ที่ 10.84 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 65.8 ต่อ GDP
ทั้งนี้แม้ว่าระดับหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2562 ของไทยจะอยู่ในระดับสูง แต่ถือได้ว่าลดลงเมื่อเทียบกับระดับหนี้ครัวเรือนที่เคยสูงสุดที่ร้อยละ 81.2 ต่อ GDP เมื่อปี 2558 กระทรวงการคลังประเมินว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังไม่เป็นประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน เช่น ที่พักอาศัย รถยนต์ ซึ่งหากมองว่าหนี้เหล่านี้เป็นไปเพื่อการสะสมความมั่งคั่งในรูปสินทรัพย์และเพื่อการลงทุนทำธุรกิจหารายได้แล้ว ก็จะส่งผลดีต่อความมั่นคงทางทรัพย์สินและรายได้ของครัวเรือนด้วย
นอกจากนี้หนี้ครัวเรือนบางส่วนใช้เพื่อประกอบธุรกิจของครัวเรือน ซึ่งถือเป็นสินเชื่อที่สร้างรายได้ให้ครัวเรือน โดยเมื่อหักสินเชื่อธุรกิจนี้ออก ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยจะลดลงอยู่ที่ 65.8 ของ GDP
ในขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนเพื่อการบริโภค เช่น สินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต อยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 6.3 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด 4.สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)ของหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่ต่ำที่ร้อยละ 3.3 ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2562
“รมว.คลัง” เชื่อ “หนี้ครัวเรือน” ยังไม่รุนแรง แต่ไม่ประมาท
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า จากตัวเลขหนี้ครัวเรือนของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ที่ตัวเลขสูงสุดในรอบ 9 ไตรมาส และขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 11 ของโลกนั้น ทางกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้าไปติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด
นายอุตตม สาวนายน
โดยกระทรวงการคลังได้สั่งการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยเฉพาะธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งลงพื้นที่ และให้เครือข่ายเข้าไปติดตามดูแลปัญหาเป็นรายบุคคล
นายอุตตม ระบุว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยในขณะนี้ ยังไม่รุนแรงจนถึงขั้นต้องกังวล และมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 เพราะต้องแยกแยะว่าหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นหนี้ที่เกิดจากการทำธุรกิจ เป็นหนี้ที่มีหลักทรัพย์ หลักประกัน
“ถ้าเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ รัฐบาลก็จะสนับสนุน เพราะไม่ใช้หนี้ด้อยคุณภาพ แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ประมาท ยังมีการติดตามดูแลสถานการณ์อยู่ตลอด ดูว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยเข้าใจเกี่ยวกับการก่อหนี้ เพราะหนี้ครัวเรือนเป็นหนี้ที่ต้องบริหาร” รมว.คลังกล่าว
ใช้ “ออมสิน – ธ.ก.ส.” ดูแลปรับโครงสร้างหนี้
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า ทาง สศค. ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยอย่างใกล้ชิด เพราะหากหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงมากเกินไปอาจจะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของระดับครัวเรือน และเสถียรภาพของเศรษฐกิจได้
โดยกระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญในการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน ผ่านกระบวนการทำงานของธนาคารของรัฐ อย่างธนาคารออมสิน ที่ได้ดำเนินการให้ความรู้ความเข้าใจในการบริการการเงิน การออม บัญชีพอเพียง ผ่านโครงการการออมและบริหารหนี้ที่สมดุลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีมีสุข และโครงการสำหรับเด็กและเยาวชนในโรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษา ผ่านโครงการธนาคารโรงเรียน
ขณะที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีโครงการให้ความรู้ทางการเงินแก่เกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผ่านโครงการสร้างสังคมแห่งปัญญา ผ่านศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธ.ก.ส. นอกจากนี้ จะให้สถาบันการเงินของรัฐเข้ามามีบทบาทในการดูแลการปรับโครงสร้างหนี้ให้มากขึ้นด้วย
“กระทรวงการคลังไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ยืนยันว่า ระดับหนี้ครัวเรือนในปัจจุบัน ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวลจนจะมีผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าเศรษฐกิจไทยวันนี้ จะมีการเติบโตชะลอตัวลงบ้าง จากก่อนหน้านี้คาดว่าจะโต 4% ก็เหลือ 3% แต่ก็ยังมีการขยายตัวได้ ไม่ได้เติบโตติดลบหรือเกิดภาวะถดถอยแต่อย่างใด” นายลวรณ กล่าว