พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยรายได้ช่วงไตรมาส 2 ลดลง 24% จากผลกระทบมาตรการ LTV ประเมินสถานการณ์ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงครึ่งปีหลัง จึงทำให้ต้องปรับลดเป้ารายได้ปี 62 ลง 3 พันล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เหลือ 1.8 หมื่นล้านบาท
บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF นำโดยนายธีรธัชช์ สิงห์ณรงค์ธร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุนบริษัท เข้าชี้แจงผลดำเนินงานไตรมาส 2/62 ในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
นายธีรธัชช์ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 4.3 พันล้านบาท ลดลง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Loan-to-Value (LTV) ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สำหรับครึ่งปีแรกของปี บริษัทฯ ได้มีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 7 โครงการ โดยที่ขณะนี้มี Backlog มูลค่า 6.7 พันล้านบาท โดยจะเป็นรายได้ที่จะโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้จำนวน 4.7 พันล้านบาท และปี 63 มูลค่า 996 ล้านบาท และถัดจากปี 63 ขึ้นไปอยู่ที่ 900 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯสามารถทำยอดขายบ้านเดียวได้ 35% ของยอดพรีเซลล์ที่มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท, คอนโดมิเนียม 34% จากยอดพรีเซลล์ที่มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท รวมแล้วขณะนี้สามารถทำยอดขายได้ 35% จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ทั้งปี 2.1 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังมีปัจจัยด้านลบเช่นเดิมกับช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และมาตรการ LTV ทำให้บริษัทฯ ได้ปรับเป้ารายได้ธุรกิจอสังหาฯ ใหม่เป็น 1.8 หมื่นล้านบาท (เดิม 2.1 หมื่นล้านบาท) แบ่งเป็นรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยว 1 หมื่นล้านบาท และคอนโดมิเนียม 8 พันล้านบาท
แต่ยังมั่นใจว่าอุตสาหกรรมบ้าน ยังคงเติบโตได้อยู่ แต่อาจเติบโตแบบชะลอตัว ส่วนคอนโดมิเนียมต้องมองเป็นโครงการและสถานที่ ซึ่งโดยรวมยังถือว่ายังคงเติบโตได้ แต่ก็อยากให้ ธปท. มีการทบทวนมาตรการ LTV และรัฐบาลช่วยลดหย่อนภาษีการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งจะเป็นผลดีกับอุตสาหกรรมอสังหาฯ
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมที่ญี่ปุ่นสามารถทำรายได้ในช่วงไตรมาส 2 อยู่ที่ 140 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วงไตรมาส 1 เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ส่วนโรงแรมในประเทศไทยสามารถทำรายได้ 544 ล้านบาท เติบโตขึ้น 43% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากบริษัทฯ ได้มีการซื้อโรงแรมใหม่เข้ามาบริหาร และยังมีการเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มด้วย
ในปี 62 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจโรงแรมที่ 4 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้ผ่านครึ่งแรกของปีสามารถทำรายได้จากธุรกิจโรงแรม 1.9 พันล้านบาทแล้ว โดยมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ตามเป้าที่ตั้งเอาไว้ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากช่วงครึ่งหลังของปี เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวในประเทศไทย คาดว่าจะทำรายได้ดีกว่าช่วงครึ่งแรกของปี
ช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังมุ่งเน้นสร้างความแข็งแกร่งให้กับงบดุลด้วยการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ในการดำเนินงานที่ดี, ขายที่ดินและการลงทุน, และการเพิ่มทุน 1.3 พันล้านบาท ซึ่งจะนำเงินไปใช้ชำระหนี้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่งประกาศออกไป โดยทั้ง 3 กลยุทธ์ดังกล่าว จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับงบดุลของบริษัทฯ
นอกจากนี้ บริษัทฯได้เพิ่มเป้าขายที่ดินในปีนี้จากเดิม 2.1 พันล้านบาท เป็น 2.8 พันล้านบาท เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ โดยตั้งเป้าลดหนี้เหลือ 4 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 4.2 หมื่นล้านบาท หากมีการลดหนี้ได้ตามเป้าจะทำให้เครดิตเรตติ้งของบริษัทฯ ได้รับการปรับขึ้นด้วย
ส่วนแบรนด์แกรนด์ขณะนี้ มีแผนจับมือกับแบรนด์ชั้นนำของประเทศหรือต่างประเทศในการพัฒนาโครงการวิลล่าที่ จ.ระยอง จึงทำให้โครงการดังกล่าวต้องเลื่อนออกไปก่อน รวมไปถึงโครงการที่เจริญนครด้วย แต่จะหันมาทำพรีเซลล์ที่โครงการสุขุมวิทก่อน
ราคาหุ้น PF ก่อนปิดซื้อขายวันที่ 3 ก.ย.62 อยู่ที่ 0.84 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันที่ 2 ก.ย.62 ที่ 0.83 บาท/หุ้น (+1.20%)