HomeBT Newsไขความจริง ปัญหาสินเชื่อ ติดขัดจ่ายไม่ไหว รีบติดต่อเจ้าหนี้ทันที

ไขความจริง ปัญหาสินเชื่อ ติดขัดจ่ายไม่ไหว รีบติดต่อเจ้าหนี้ทันที

เรื่องปัญหาหนี้สิน เป็นความกลุ้มใจที่บางคนอาจหาทางออกไม่เจอ ซึ่งต้นตออาจเกิดจากตกงาน รายได้ลด ปัญหาที่เราคาดไม่ถึง เช่น จากโควิด-19 หรือ ค่าครองชีพสูง ทำให้ไม่มีเงินมาใช้หนี้ และหลายคนก็คงคิดว่าเจ้าหนี้คงไม่รับฟังเหตุผลต่างๆนานา จึงเลือกทางเดินหนีหนี้ไปเฉยๆ หรือบ้างก็ “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” ดังนั้นมาหาความกระจ่างกันว่า เรื่องหนี้ ๆ กับความเชื่อแบบผิดๆ มีอะไรบ้าง และความจริงเป็นอย่างไร?

ความเชื่อที่ 1 : เจ้าหนี้คงไม่รับฟังปัญหา ไม่ช่วยเหลือ แต่ความจริง คือ เจ้าหนี้ทั้งหลายล้วนมีความจริงในใจอย่างเดียวกันข้อหนึ่งคือต้องการได้เงินที่ให้กู้ยืมกลับคืนมา (ยกเว้นเจ้าหนี้ที่ไม่ดีบางรายที่หวังยึดทรัพย์สินเพราะขายต่อแล้วจะได้เงินเกินมูลหนี้ เช่น ที่ดินในทำเลดี) ดังนั้น เมื่อตัวเราเกิดปัญหาจ่ายหนี้ไม่ไหว เช่น เพราะตกงาน รายได้ลดลง หรือความจำเป็นอื่น ๆ ให้รีบติดต่อเจ้าหนี้ เพื่อชี้แจงเหตุผลและเจรจาขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เหมาะกับสถานะทางการเงินของเรา เจ้าหนี้จะช่วยวิเคราะห์ หาทางออกปัญหา รวมถึงปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ให้เรา ซึ่งมีได้หลายรูปแบบ เช่น ขยายระยะเวลาชำระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย

แต่ในกรณีที่เราได้พยายามติดต่อเจ้าหนี้แล้วแต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ หรือติดต่อไปแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้า รวมถึงเห็นว่าเงื่อนไขในการผ่อนชำระยังสูงเกินกว่าที่จะสามารถผ่อนได้ ซึ่งยังไม่ช่วยลดภาระได้จริง สามารถใช้ช่องทางของทางด่วนแก้หนี้ เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นตัวกลางช่วยประสานงานกับกลุ่มเจ้าหนี้ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลได้

- Advertisement -

ความเชื่อที่ 2 : ต้องติดคุก ถ้าไม่จ่ายหนี้และเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศาลแล้ว แต่ความจริง คือ ในความเป็นจริงเมื่อเราไม่สามารถชำระหนี้ได้ และถูกเจ้าหนี้ส่งเรื่องดำเนินคดีตามกฎหมาย เราจะไม่ถูกจับหรือถูกคุมขัง เพราะภาระหนี้สินที่เกิดจากการกู้ยืมมานั้น เป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา ยกเว้นกรณีที่เป็นการทุจริต หรือปลอมแปลงเอกสารทางการเงิน เช่น เจตนาสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้โดยที่รู้ว่าไม่มีเงินในบัญชีเพียงพอ การปลอมแปลงเช็คหรือใบวางบิล

สำหรับกรณีที่ได้รับหมายศาล เราไม่ควรที่จะหนีศาล เพราะการที่เราไปศาลก็เพื่อใช้สิทธิ์ในการโต้แย้งหรือขอประนอมหนี้กับเจ้าหนี้นั่นเอง การไม่ไปอาจทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเราเอง เช่น ศาลพิพากษาตามที่เจ้าหนี้เสนอมา ซึ่งหากเป็นเงื่อนไขที่เราจ่ายไม่ไหว ก็เป็นไปได้ที่จะบานปลายถึงขั้นถูกสืบทรัพย์และยึดทรัพย์มาขายทอดตลาด

ความเชื่อที่ 3 : สินเชื่อไม่มีหลักประกัน ถ้าไม่จ่ายเจ้าหนี้ไม่สามารถยึดทรัพย์ได้ แต่ความจริง คือ สินเชื่อไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล แม้ตอนที่เราสมัครใช้บริการเหล่านี้จะไม่ต้องใช้หลักประกัน ต่างจากสินเชื่อบ้านหรือการเช่าซื้อรถยนต์ที่มีหลักประกันหรือสินทรัพย์เช่าซื้อ แต่เมื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้เราก็อย่าได้สบายใจเป็นอันขาดว่าเจ้าหนี้ไม่สามารถยึดอะไร เพราะเจ้าหนี้สามารถส่งเรื่องดำเนินคดีตามกฎหมายได้

ซึ่งเมื่อเจ้าหนี้ดำเนินการฟ้องร้องจนชนะคดีแพ่งแล้ว หากเรายังไม่สามารถชำระหนี้ หรือไม่ไปชำระหนี้ตามระยะเวลาที่ศาลกำหนด ก็จะมีการออกหมายบังคับคดีให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เป็นชื่อของเรา ซึ่งรวมถึงเงินเดือนด้วย สำหรับกรณีที่เราเป็นพนักงานเอกชนและมีเงินเดือนเกิน 2 หมื่นบาท โดยจะมีเจ้าพนักงานของกรมบังคับคดีเป็นผู้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพื่อนำไปขายทอดตลาด แล้วนำเงินที่ได้จากการขายมาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้จนครบตามจำนวน

ฉะนั้นแล้ว..ทางที่ดีก็ไม่ควรปล่อยให้ปัญหาเรื่องหนี้ เป็นปัญหาให้ชีวิตเรา หากเราไม่สามารถผ่อนจ่ายต่อไปได้ไหว เนื่องด้วยปัญหาด้านการเงินต่างๆ ก็ควรรีบติดต่อเจ้าหนี้ขอเจรจาต่อรองและหาทางออก เพื่อให้เราไม่ถูกดำเนินคดี และยังไม่เสียประวัติ โดยหากเป็นสถาบันการเงินก็จะมีแนวทางปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้ตามแนวนโยบายจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย.

(ข้อมูล : ธนาคารแห่งประเทศไทย)

Business Today
Business Todayhttps://businesstoday.co
Supporting Thailand's business communities./ FB Page: Business Today Thai/ Social: Business Today Thai (สำหรับ Twitter, YouTube, Telegram)/ LINE: @Business today/ เว็บที่เกี่ยวข้อง: Thailand Today: www.thailandtoday.co/ FB: Thailantoday.co (English)/ Thailand Today News: www.thailandtoday.news/ FB: Thailandtoday.news (Mandarin Chinese)

Latest

ติดตามข่าวสารอัพเดททันใจจาก Businesstoday ได้โดยกรอกอีเมลด้านล่าง

Related News