กลายเป็นประเด็นใหญ่ของวงการ Cryptocurrency ไทย เมื่อเว็บไซต์ BX.in.th กระดานซื้อขาย “บิตคอยน์ (Bitcoin)” ใหญ่สุดของไทย ด้วยวอลุ่มเฉลี่ยนต่อวันประมาณ 1,200 BTC ได้ประกาศยุติการให้บริการเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยให้เหตุผลว่า
“เนื่องจากบริษัท ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาธุรกิจในทางอื่นๆ แทนการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และไม่มีความประสงค์จะต่อใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2563 อีกต่อไป”
ส่วนราคาบิตคอยน์ ที่ซื้อขายผ่านกระดาน BX.in.th ก็ปรับลงทันที โดยราคาปรับลงมาที่ระดับ 199,999 บาท ในช่วงเวลา 08.30 – 08.45 น. (วันที่ 2 ก.ย. 62) โดยราคาร่วงลงมาเกือบ 100,000 บาท ในเวลาประมาณ 15 นาที จากที่เคยเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 290,000 – 300,000 บาท ก่อนที่ราคาบิตคอยน์จะปรับตัวขึ้นมาในช่วงเวลา 09.00 น. (วันที่ 2 ก.ย. 62) มาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 250,000 – 280,000 บาท
หลังจาก BX ประกาศปิดบริการแล้ว นั่นหมายความว่าจะเหลือผู้ให้บริการ Digital Asset Exchange ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เพียง 4 รายจาก 5 รายที่ได้รับใบอนุญาต โดยมี 2 รายที่ให้บริการแล้วคือ Satang Pro และ Bitkub ส่วนอีก 2 รายคือ Bitherb และ Huobi Thailand ยังไม่เปิดให้บริการ
คำถามที่ตามมาคือ อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ BX ตัดสินใจยุติการให้บริการ และหันโฟกัสธุรกิจด้านอื่นแทน หรือเพราะตลาด “บิตคอยน์” เข้าสู่ขาลง
หากย้อนดูผลประกอบการของ BX หรือ บริษัท บิทคอยน์ จำกัด โดยข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า งบการเงิน 2559 – 2561 ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2559 มีกำไรสุทธิ 6.28 ล้านบาท, ปี 2560 มีกำไรสุทธิ 212.09 ล้านบาท, และปี 2561 มีกำไรสุทธิ 224.71 ล้านบาท โดยจะพบว่ากำไรสุทธิของบริษัทก็เติบโตต่อเนื่องทุกปี แต่ทำไมถึงตัดสินใจปิดบริการกะทันหัน?
เชื่อ “บิตคอยน์” ยังไม่ใช่ขาลง
ราคาบิตคอยน์เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงเดือน ธ.ค. 2560 ที่เกือบ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อบิตคอยน์ หรือประมาณ 650,000 บาท (เทียบอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้นที่ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ก่อนที่ราคาจะดิ่งลงมาตลอดทั้งปี 2561 และค่อยๆ ปรับขึ้นมาในช่วง มิ.ย. 2562 โดยราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2562 ที่ 12,876 ดอลลาร์สหรัฐต่อบิตคอยน์ จากกระแส “Facebook” เปิดตัวสกุลเงิน “Libra” จึงทำให้ราคาของบิตคอยน์ทะยานขึ้นตามไปด้วย
ด้าน “นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บิทครับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวอาจมีเหตุผลทางธุรกิจ เนื่องจากตลาดมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ในขณะที่ Margin ต่ำลง แต่ยังเชื่อว่าตลาด Cryptocurrency ในไทยยังเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ โดยปัจจุบันมีมูลค่าไม่ถึง 1 พันล้านบาท ในขณะที่ตลาดตราสารหนี้มีมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นมีมูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท
ส่วน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในขณะนี้ยังเป็นเรื่องเฉพาะบริษัท ซึ่ง BX ยังไม่ได้ปิดให้บริการในทันที ดังนั้นจึงต้องใช้ระยะเวลาในการติดตามผลกระทบในระยะต่อไป โดยทาง ก.ล.ต. จะวิเคราะห์เรื่องดังกล่าวเปรียบเทียบกับพัฒนาการของตลาดต่างประเทศ
ก.ล.ต. ยังยืนว่า มีนโยบายที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาพัฒนาเป็น Digital Infrastructure ของตลาดทุนไทย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินธุรกิจให้มีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น รวมทั้งยังส่งผลดีต่อผู้ลงทุนและประชาชนที่เข้ามาใช้บริการด้วยต้นทุนที่ลดลง
