ปัญหาหนี้สินครัวเรือนไทยเป็นปัญหาที่สะสมมานาน จนในที่สุดปี 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ประกาศว่าปี 2565 จะเป็นปีแห่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2565 ยังได้สั่งการและกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้หนี้ ให้ทำตามนโยบาย ครอบคลุม 8 ด้าน ทั้งหนี้กยศ. หนี้เช่าซื้อรถยนต์ หนี้ข้าราชการ หนี้บัตรเครดิต และปรับปรุงกระบวนการทางยุติธรรมให้สอดคล้องกับหนี้ปัจจุบัน เป็นต้น
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าของคนเป็นหนี้เลยคือ จะมีแนวทางอย่างไรในการบริหารจัดการหนี้ แก้ไขให้ได้อย่างอยู่หมัด! โดยอาจทำตามแนวทางได้ 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 สำรวจภาระหนี้
สิ่งแรกในการเริ่มต้นแก้ปัญหาหนี้ ขอแนะนำให้เริ่มจากการสำรวจหนี้สินที่เรามีอยู่ทั้งหมดขณะนี้ว่ามีหนี้ประเภทใดบ้าง หนี้มีหลักประกันหรือไม่ ถ้ามีคืออะไร เจ้าหนี้มีกี่ราย ใครบ้าง อัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่ ยอดหนี้คงเหลือ ยอดผ่อนต่อเดือนเป็นเท่าใด สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ เช่น จ่ายเต็มจำนวน จ่ายขั้นต่ำ ค้างชำระมาแล้วกี่เดือน ก็เพิ่มช่องข้อมูลได้อีกหรือใส่ในหมายเหตุ เพื่อให้สามารถคิดและตัดสินได้ว่าหนี้สินที่มีอยู่ในตอนนี้ ก้อนไหนที่เป็นปัญหาแล้วหรือจะเป็นปัญหาในอนาคต เพื่อที่จะได้เรียงลำดับความเร่งด่วนของปัญหาและลงมือแก้ไขได้อย่างตรงจุดและทันกาล
ขั้นตอนที่ 2 สำรวจทรัพย์สินที่สามารถขายได้
แม้รายได้จะลดหรือขาดรายได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสิ้นหนทางในการหาเงินมาชำระหนี้เสมอไป การสำรวจทรัพย์สินที่เรามีทั้งหมดจะช่วยให้รู้ว่าตอนนี้เรามีทรัพย์สินประเภทใดบ้าง คาดว่าจะขายได้เท่าไหร่ แหล่งที่สามารถขายได้คือที่ใดบ้าง (สำหรับ 2 อย่างหลังเราควรหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือประกอบด้วยเพื่อให้รู้จำนวนเงินคร่าว ๆ ที่เราควรจะได้ และเจอกับผู้ซื้อที่ไว้ใจได้) เพื่อประเมินว่าเราจะมีเงินมาจ่ายหนี้รวมทั้งหมดเท่าไหร่ และหนี้สินจะลดลงมาอยู่ในระดับที่รายได้ปัจจุบันที่เราจะจ่ายไหวในแต่ละเดือนหรือไม่
ขั้นตอนที่ 3 ลงมือแก้ไขหนี้
วิธีการแก้ไขหนี้ด้วยทรัพย์สินแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบตามประเภทของสินเชื่อ คือ 1.สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ไม่ว่าจะเป็นหนี้นอกระบบ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งล้วนแต่มีอัตราดอกเบี้ยสูง เป็นภาระในการผ่อนชำระอย่างมาก และมักบั่นทอนความสามารถในการชำระหนี้ของเราภายในเวลาไม่นานนัก ซึ่งหากเริ่มผ่อนไม่ไหว และต้องการปิดหนี้เหล่านี้โดยเร็ว ให้ขายทรัพย์สินที่มีมาปิดหนี้ หรือชำระหนี้บางส่วนเพื่อลดภาระดอกเบี้ย รวมถึงอาจมีเงินเหลือไปจ่ายหนี้ก้อนอื่นได้อีก โดยควรจะพิจารณาขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีพหรือที่ไม่ต้องใช้ในการประกอบอาชีพ
2.สินเชื่อที่มีหลักประกัน โดยทั่วไปแล้วสินเชื่อประเภทนี้จะมีหลักประกันเป็นเงินฝาก สลากออมทรัพย์ ที่ดิน บ้าน หรืออาคาร ซึ่งหากกลายเป็นหนี้ที่มีปัญหาและต้องการแก้ไข นอกจากการขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว ยังสามารถนำเงินฝาก สลากออมทรัพย์ สามารถติดต่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้เพื่อขอนำหลักประกันมาหักชำระหนี้ได้ ซึ่งหากเป็นหนี้กับสถาบันการเงินอื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นผู้ออกสลากออมทรัพย์ จะต้องไปไถ่ถอนเงินคืนจากผู้ออกสลากออมทรัพย์ก่อน
นอกจากนี้หากเป็นที่ดิน บ้าน อาคาร สามารถประกาศขายแล้วนำเงินไปชำระหนี้ การประกาศขายด้วยตัวเอง หรือผ่านนายหน้ามีข้อดีคือ เรากำหนดราคาที่พึงพอใจ หรือตามต้นทุนการถือครองได้ แต่เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าค่อนข้างสูง ทำให้อาจต้องใช้ระยะเวลาในการขายนาน จึงต้องคำนึงถึงภาระของดอกเบี้ย และค่างวดที่เรายังคงต้องผ่อนชำระให้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ในแต่ละเดือนจนกว่าจะสามารถขายได้ รวมถึงพิจารณาความจำเป็นในการมีที่อยู่อาศัยประกอบด้วยว่าเรามีทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหรือไม่ เช่น อาศัยกับญาติ เช่า หรือมีบ้านหลังอื่นอยู่อาศัยได้
หรือขอตีโอนทรัพย์ชำระหนี้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ โดยเมื่อเทียบกับราคาประเมิน (ราคาประเมินเป็นไปตามเงื่อนไขที่สถาบันการเงินกำหนด) โดยการตีโอนทรัพย์ชำระหนี้มี 2 รูปแบบ คือ (1) การตีโอนทรัพย์ชำระหนี้แบบจบหนี้ เป็นการตกลงกันระหว่างลูกหนี้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ว่าต้องการตีโอนทรัพย์ที่เป็นหลักประกันของสินเชื่อเพื่อชำระหนี้ ทั้งนี้ เมื่อตีโอนทรัพย์ชำระหนี้เรียบร้อยแล้วกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นก็จะตกเป็นของสถาบันการเงิน และลูกหนี้ก็จะไม่มีภาระผูกพันกับสถาบันการเงินอีกต่อไป
(2) การตีโอนทรัพย์ชำระหนี้แบบมีเงื่อนไขให้ซื้อคืน เป็นการตกลงกันระหว่างลูกหนี้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ว่าต้องการตีโอนทรัพย์ที่เป็นหลักประกันของสินเชื่อเพื่อชำระหนี้ โดยมีเงื่อนไขตกลงเพิ่มเติมระหว่างกันว่าผู้กู้มีสิทธิที่จะขอซื้อคืนทรัพย์จากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ตามราคาที่ตกลงกัน ซึ่งหากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วลูกหนี้ก็จะไม่สามารถซื้อทรัพย์คืนได้ แต่หากภายในระยะเวลาดังกล่าวมีผู้อื่นขอซื้อทรัพย์นั้น สถาบันการเงินเจ้าหนี้จะแจ้งให้ผู้กู้ทราบเพื่อให้ผู้กู้ได้มีโอกาสใช้สิทธิ หากผู้กู้สละสิทธิ ก็สามารถขายทรัพย์ดังกล่าวให้แก่ผู้อื่นได้
สำหรับกรณีที่นำหลักประกันมาหักชำระหนี้ หรือขอตีโอนทรัพย์ชำระหนี้แล้ว แต่หนี้ก้อนนั้นยังไม่หมด ซึ่งมักพบในกรณีสินเชื่อเพื่อธุรกิจ ก็ยังพอมีวิธีแก้ไขเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
(1) ขอส่วนลดหนี้ (Haircut) สามารถเจรจากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้เพื่อขอ Haircut หนี้ส่วนที่เหลือ โดยต้องยื่นคำขอพร้อมทั้งแสดงเหตุผลและความจำเป็นประกอบการพิจารณา
(2) ขอผ่อนชำระหนี้ที่เหลือ สามารถเจรจากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้เพื่อขอผ่อนชำระหนี้ส่วนที่เหลือได้ เพราะอย่างน้อยการผ่อนหนี้ที่เหลือภาระก็จะเบามากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากได้ชำระหนี้ส่วนใหญ่ไปแล้ว
(3) รวมรวบเงินเพื่อชำระหนี้ส่วนที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นการขายทรัพย์สินที่ยังมีเหลืออยู่อีก หรือขอความช่วยเหลือจากครอบครัวเพื่อรวบรวมเงินให้ได้และชำระหนี้ปิดบัญชี
(ข้อมูลจาก ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน(ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย)